ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท บี. กริม บีไอพี เพาเวอร์ 1 จำกัด ที่ระดับ ?A-? พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชนิดทยอยชำระคืนเงินต้นของบริษัทที่ระดับ ?A-? เช่นเดียวกันด้วย โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคง ?Stable? หรือ ?คงที่?
อันดับเครดิตสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ที่บริษัทได้รับจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer -- SPP) และผลงานที่ได้รับการยอมรับในการบริหารโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซพลังความร้อนร่วม (Gas-fired Combined-cycle Cogeneration Power Plant) อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวมีข้อจำกัดบางส่วนจากความเสี่ยงที่บริษัทมีโรงไฟฟ้าเพียงแห่งเดียว
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้จากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ กฟผ.
บริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. จำนวน 90 เมกะวัตต์ ระยะเวลา 25 ปีภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก โดย กฟผ. ตกลงรับซื้อไฟฟ้าขั้นต่ำจำนวน 80% ของกำลังการผลิตตามสัญญาซึ่งคำนวณจากจำนวนชั่วโมงที่สามารถดำเนินงานได้ตามเงื่อนไขมาตรฐานของสัญญา ด้วยลักษณะสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแบบไม่ใช้ก็ต้องจ่าย (Take-or-pay Basis) ทำให้บริษัทได้รับกระแสเงินสดที่มั่นคง นอกจากนี้ สัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีกับ กฟผ. ยังช่วยลดความเสี่ยงด้านราคาเชื้อเพลิงและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราอีกด้วยเนื่องจากสัญญาดังกล่าวมีสูตรคำนวณค่าไฟฟ้าที่มีการปรับปรุงการเปลี่ยนแปลงของราคาเชื้อเพลิงและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
บริษัทยังมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับลูกค้าอุตสาหกรรมรายหนึ่งในสวนอุตสาหกรรมบางกะดี อีกจำนวน 14 เมกะวัตต์ด้วย โดยสัญญาที่มีกับลูกค้ารายนี้มีการกำหนดปริมาณการรับซื้อขั้นต่ำไว้ด้วย ทั้งนี้ อัตราค่าไฟฟ้าที่บริษัทเรียกเก็บจากลูกค้าดังกล่าวจะอิงกับอัตราค่าไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่เรียกเก็บจากกิจการขนาดใหญ่ซึ่งโดยทั่วไปจะมีการปรับราคาเพื่อสะท้อนต้นทุนเชื้อเพลิงผ่านค่าใช้จ่ายที่แปรผันในการผลิตไฟฟ้าหรือค่า Ft อย่างไรก็ตาม การปรับค่า Ft นั้นจะมีช่วงเวลาล่าช้า อีกทั้งจำนวนที่ปรับและระยะเวลาก็ยังขึ้นอยู่กับดุลพินิจของหน่วยงานที่รับผิดชอบด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังมีสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ระยะเวลา 25 ปีอีกด้วยเช่นกัน
เทคโนโลยีที่ผ่านการพิสูจน์แล้วช่วยลดความเสี่ยงด้านการดำเนินงาน
โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมของบริษัทใช้เทคโนโลยีที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว โดยกังหันก๊าซ GE-LM6000PD ที่ผลิตโดย GE Power (GE) นั้นเป็นที่ยอมรับในด้านประสิทธิภาพเป็นอย่างดี ซึ่ง GE ได้ผลิตและจำหน่ายกังหันก๊าซรุ่นนี้ไปแล้วกว่า 1,000 ชุดและมีชั่วโมงการทำงานมากกว่า 2 ล้านชั่วโมง ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าของบริษัทประกอบด้วยหน่วยผลิตไฟฟ้ากังหันก๊าซจำนวน 2 ชุด ชุดกำเนิดไอน้ำ (Heat Recovery Steam Generator -- HRSG) จำนวน 2 ชุด และหน่วยผลิตไฟฟ้ากังหันไอน้ำซึ่งผลิตโดย Siemens อีกจำนวน 1 ชุด
ความสามารถในการบริหารโรงไฟฟ้าที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว
บริษัทมีผลงานที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในการบริหารโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซพลังความร้อนร่วม โดยบริษัทมีกลุ่มบุคลากรของตนเองในการดำเนินงานและซ่อมบำรุงประจำวันซึ่งได้รับการถ่ายทอดความรู้ความเชี่ยวชาญจาก บริษัท บี. กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ทั้งนี้ บริษัท บี. กริม เพาเวอร์ นั้นเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารและซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม
บริษัทยังได้ลงนามในสัญญาซ่อมบำรุงกังหันก๊าซระยะยาวกับ IHI Corporation (IHI) เป็นระยะเวลา 8 ปีเพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการดำเนินงานและควบคุมค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงอีกด้วย โดยสัญญาดังกล่าวมีทางเลือกให้สามารถต่ออายุสัญญาออกไปได้อีกซึ่งขึ้นอยู่กับความตกลงร่วมกันระหว่างบริษัทและ IHI
นับตั้งแต่เริ่มดำเนินงานในปี 2558 โรงไฟฟ้าของบริษัทก็มีผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ามาโดยตลอด ทั้งนี้ ในปี 2563 โรงไฟฟ้าของบริษัทมีค่าดัชนีความพร้อมอยู่ที่ 98.7% และมีอัตราความร้อนที่ขนาด 7,816 บีทียูต่อหน่วย ซึ่งดีกว่าอัตราความร้อนอ้างอิงตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีกับ กฟผ. ที่ขนาด 8,000 บีทียูต่อหน่วย ส่วนในด้านของประสิทธิภาพการใช้พลังงานนั้น โรงไฟฟ้าของบริษัทบรรลุดัชนีชี้วัดความสามารถในการใช้พลังงานปฐมภูมิในการผลิตพลังงานไฟฟ้าและพลังงานความร้อนร่วมกัน (Primary Energy Saving -- PES) ซึ่งทำให้ได้รับค่าไฟฟ้าเพิ่มเติมจากค่าการประหยัดการใช้เชื้อเพลิง (Fuel Saving -- FS) ที่อัตรา 0.36 บาทต่อหน่วยจาก กฟผ.
ยอดขายส่วนใหญ่มาจาก กฟผ.
บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 90% ของรายได้จากไฟฟ้าที่จำหน่ายทั้งหมดต่อปี บริษัทมีรายได้และกำไรที่มั่นคงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในช่วงปี 2561-2563 บริษัทมีรายได้ประมาณ 2.1-2.2 พันล้านบาทต่อปีและมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายประมาณ 505-537 ล้านบาทต่อปี โดยในช่วงดังกล่าวรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. คิดเป็น 89% ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมคิดเป็น 8% และกิจการที่เกี่ยวข้องกันคิดเป็น 3%
ในระหว่างปี 2561-2563 บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ปีละประมาณ 622-637 ล้านหน่วย จำหน่ายให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมปีละประมาณ 49-60 ล้านหน่วย และจำหน่ายให้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้อง (โรงไฟฟ้าอื่นในกลุ่ม บี. กริม ที่ตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรมบางกะดี) อีกปีละประมาณ 17-22 ล้านหน่วยเพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้า ทั้งนี้ ปริมาณไฟฟ้าที่บริษัทจำหน่ายให้ กฟผ. คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 89% ของปริมาณไฟฟ้าที่จำหน่ายทั้งหมด ส่วนไฟฟ้าที่จำหน่ายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 8% และส่วนที่เหลือจำหน่ายให้แก่ บริษัท บี. กริม บีไอพี เพาเวอร์ 2 จำกัด เพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าของกลุ่ม
ไม่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด 19
ในปี 2563 บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. จำนวนประมาณ 637 ล้านหน่วย รวมทั้งลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 60 ล้านหน่วย และบริษัทที่เกี่ยวข้องอีกจำนวน 17 ล้านหน่วย ทั้งนี้ จำนวนไฟฟ้าที่จำหน่ายดังกล่าวนั้นเพิ่มขึ้น 1.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากจำนวนไฟฟ้าที่จำหน่ายให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 20% และจำนวนไฟฟ้าที่จำหน่ายให้แก่ กฟผ. เพิ่มขึ้น 1%
ความสามารถในการชำระหนี้อยู่ในระดับเพียงพอ
ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะสามารถสร้างกระแสเงินสดที่เพียงพอต่อการชำระคืนหนี้ได้ ทั้งนี้ ในเดือนพฤษภาคม 2561 บริษัทได้ออกหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชนิดทยอยชำระคืนเงินต้นในวงเงิน 3.35 พันล้านบาทโดยได้นำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปจ่ายชำระคืนหนี้เงินกู้โครงการทั้งหมดที่มีกับสถาบันการเงินต่าง ๆ ซึ่งในตารางการชำระคืนเงินต้นของหุ้นกู้นั้นมีการกำหนดให้สอดคล้องกับกระแสเงินสดที่บริษัทได้รับจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีอยู่ และในช่วงปี 2564-2566 บริษัทจะมีภาระในการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยประมาณปีละ 307-348 ล้านบาท ซึ่งประมาณการกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทที่ปีละ 477-508 ล้านบาทนั้นถือว่าเพียงพอต่อการชำระหนี้
ระดับโครงสร้างเงินทุนปรับตัวดีขึ้น
ทริสเรทติ้งคาดว่าโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นตามการทยอยชำระคืนเงินต้นของหุ้นกู้ หนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทคาดว่าจะลดลงเหลือ 1.9 พันล้านบาทในปี 2566 จาก 2.3 พันล้านบาทในปี 2563 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 60% ในปี 2565 จากระดับ 68% ในปี 2563 และประมาณการอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 4 เท่าในปี 2566
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? ในช่วงปี 2564-2567 โรงไฟฟ้าของบริษัทจะมีค่าดัชนีความพร้อมในระดับ 95%-98%
? บริษัทจะจำหน่ายไฟฟ้าได้ประมาณปีละ 685-698 ล้านหน่วยในช่วงปี 2564-2567 โดยจะมีรายได้อยู่ในช่วง 2.1-2.2 พันล้านบาทต่อปีและจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายประมาณ 477-508 ล้านบาทต่อปี
? เงินสดในมือจะมีประมาณปีละ 463-558 ล้านบาท
? เงินลงทุนเพื่อการซ่อมบำรุงจะอยู่ที่ปีละ 9-34 ล้านบาท
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำเนินงานโรงไฟฟ้าได้อย่างราบรื่นและสามารถสร้างผลกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ประมาณ 477-508 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2567
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตยังมีจำกัดในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้า ในทางกลับกัน การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทมีผลการดำเนินงานหรือสถานะทางการเงินที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญจนส่งผลกระทบต่อความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัท
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท บี. กริม บีไอพี เพาเวอร์ 1 จำกัด (BIP1)
อันดับเครดิตองค์กร: A-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
BIPA335A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ทยอยชำระคืนเงินต้นในวงเงิน 3,350 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2576 A-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable