ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ซีเฟรชอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? หรือ ?ลบ?
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? นั้นสะท้อนความกังวลของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมกุ้งขาลงที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่องในปี 2564 อันเกิดจากอุปสงค์และอุปทานโลกที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้ อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ทั้งนี้ คาดว่าสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยจะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี 2564
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางในอุตสาหกรรมกุ้งแปรรูปในประเทศไทยและกลยุทธ์ที่บริษัทจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลขั้นสูงสุดทั้งในด้านความปลอดภัยของอาหารและการตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่อุปทานด้วย อย่างไรก็ตาม สถานะทางธุรกิจของบริษัทก็มีข้อจำกัดจากการที่บริษัทพึ่งพาสินค้ากุ้งเป็นอย่างมาก โดยสินค้ากุ้งนั้นมีความอ่อนไหวตามความผันผวนของตลาดโดยธรรมชาติและตามสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังอ่อนไหวตามความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราและการกีดกันทางการค้าอีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ผลประกอบการทางการเงินอ่อนแอลง
ผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากในปี 2563 อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลดลงเป็น 8.3% ในปี 2563 จาก 9%-10% ในปี 2561-2562 อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้รวมของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 9.8% ในปี 2563 ดังนั้นอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายก็ลดลงอย่างมากมาอยู่ที่ระดับ 1.4%-1.8% ในปี 2562-2563 เมื่อเทียบกับระดับ 4.8%-5.5% ในช่วงปี 2560-2561 ส่งผลให้บริษัทรายงานผลขาดทุนสุทธิจำนวน 282 ล้านบาทในปี 2563 เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งบริษัทขาดทุนสุทธิ 218 ล้านบาท และปี 2561 ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 20 ล้านบาท ซึ่งผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่องมีสาเหตุสำคัญมาจากต้นทุนวัตถุดิบกุ้งขาวแวนนาไมที่ปรับสูงขึ้น พร้อมทั้งยอดขายสินค้าส่งออกที่ปรับลดลงอย่างมากอย่างต่อเนื่องของตลาดที่สำคัญในระหว่างปี 2562-2563
ยอดขายรวมของบริษัทส่วนใหญ่มาจากตลาดส่งออก โดยเฉพาะในกลุ่มสหภาพยุโรป ยอดขายจากการส่งออกคิดเป็น 96% ของยอดขายรวมบริษัท และอีก 4% ที่เหลือมาจากยอดขายในประเทศ แม้ว่ายอดขายจากการส่งออกในปี 2563 เติบโตเท่ากับ 5.6 พันล้านบาท คิดเป็น 4% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ปริมาณส่งออกรวมของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 9,864 ตัน ลดลง 4% ในปี 2563 โดยปริมาณส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มสหภาพยุโรปยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 5,652-5,737 ตัน ในปี 2562-2563 เมื่อเทียบกับ 8,127-9,120 ตัน ในปี 2560-2561 นอกจากนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์สเตอร์ลิงและเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ สามารถทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทดีขึ้นได้เพียงเล็กน้อย ค่าของเงินปอนด์สเตอร์ลิงและเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ เฉลี่ยในปี 2563 เพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อยประมาณ 1% เมื่อเทียบกับค่าเงินบาท
รายได้จากตลาดในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2563 โดยมีรายได้เท่ากับ 239 ล้านบาท เติบโตขึ้น 233% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในช่วงที่มีการปิดเมืองเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจากโรงงานแปรรูปและผู้ค้าปลีกทำให้รายได้จากการขายในประเทศเติบโตขึ้นในปี 2563 ในขณะที่การปิดร้านอาหารชั่วคราวก็ส่งผลทำให้รายได้จากอุตสาหกรรมบริการอาหารลดลงอย่างมากในปี 2563 บริษัทพยายามที่จะเจาะตลาดในประเทศในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงปี 2564-2566 ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 3%-4% ในปี 2564-2566 ตามอุปสงค์และราคากุ้งในตลาดโลกที่ค่อย ๆ ปรับตัวสูงขึ้น
ความไม่แน่นอนของกิจการร่วมค้า
บริษัทได้ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศโดยการลงทุนในกิจการร่วมค้าในธุรกิจกุ้งครบวงจรในนาม Belize Aquaculture Ltd. (BAL) ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคอเมริกากลางตั้งแต่ปี 2555 บริษัทได้ถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมใน BAL รวมทั้งสิ้น 34% โดยในปี 2563 BAL มีผลการดำเนินงานขาดทุน อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้บันทึกส่วนแบ่งขาดทุนดังกล่าวเนื่องจากผลขาดทุนสะสมจากกิจการร่วมค้าสูงกว่าเงินลงทุน
ณ เดือนธันวาคม 2563 บริษัทมีภาระคงเหลือกับกิจการร่วมค้า BAL รวมทั้งสิ้น 883 ล้านบาทซึ่งอยู่ในรูปแบบของลูกหนี้ค้างชำระอื่น ๆ มูลค่า 317 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างรับจำนวน 62 ล้านบาท เงินให้กู้ยืมระหว่างบริษัทอีกจำนวน 325 ล้านบาท และค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 179 ล้านบาท ขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะขายทรัพย์สินในกิจการร่วมค้าหรือหาผู้ร่วมทุนใหม่เพื่อดำเนินธุรกิจต่อในอนาคตข้างหน้า
ประสบการณ์ที่ยาวนานในอุตสาหกรรมแปรรูปกุ้ง
บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลา 30 กว่าปีที่ผ่านมาในฐานะผู้แปรรูปและผู้ส่งออกกุ้ง รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 5.86 พันล้านบาทในปี 2563 จาก 2.42 พันล้านบาทในปี 2553 หรือคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีที่ 9% บริษัทมีฐานการผลิตและห่วงโซ่อุปทานที่ได้รับการรับรองจากองค์กรระหว่างประเทศหลายสถาบันทั้งในด้านความปลอดภัยของอาหาร การตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่อุปทาน และการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ดังนั้น สินค้าของบริษัทจึงได้มาตรฐานสำหรับการจำหน่ายในห้างค้าปลีกชั้นนำทั่วโลก
ความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนที่ลดลงส่งผลทำให้ภาระหนี้ของบริษัทปรับตัวลดลง
ระดับสินค้าคงคลังของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 103 วันในปี 2563 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ 123 วันในช่วงปี 2560-2562 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วต่อเงินทุนสุทธิของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 58.9% ในปี 2563 จาก 57.1% ในปี 2562 โดยสาเหตุหลักมาจากการที่บริษัทมีกำไรสะสมปรับตัวลดลงในช่วงอุตสาหกรรมกุ้งอ่อนตัว อย่างไรก็ตาม บริษัทมีค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนและใช้เงินลงทุนปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 193 ล้านบาทในปี 2563 เมื่อเทียบกับจำนวน 324-485 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2561-2562 ด้วย ในอนาคตคาดว่าค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนของบริษัทน่าจะปรับตัวลดลง โดยคาดว่าเงินลงทุนจะลดลงเหลือปีละ 50-140 ล้านบาทในช่วงปี 2564-2566 ดังนั้น ภาระหนี้ของบริษัทคาดว่าจะปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 50% ในปี 2564-2566
สภาพคล่องค่อนข้างเพียงพอ
ทริสเรทติ้งคาดว่าสภาพคล่องของบริษัทจะยังคงเพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 70-150 ล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วงระยะเวลาเดียวกันที่จำนวน 538 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ณ เดือนธันวาคม 2563 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดทั้งสิ้นจำนวน 33 ล้านบาทและมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้อยู่ทั้งสิ้นอีกจำนวน 490 ล้านบาท อีกทั้งมีการเพิ่มทุนผ่านการจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิมทุกรายตามสัดส่วนจำนวน 463.5 ล้านบาทในเดือนพฤษภาคม 2564 ในอนาคตทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 4%-9% ในช่วงปี 2564-2566 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจะอยู่ที่ระดับ 2-3 เท่าในช่วงระยะเวลาเดียวกัน
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? รายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 6.3-6.8 พันล้านบาทในช่วงปี 2564-2566
? อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ในช่วงระหว่าง 9%-10% และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ระดับ 3%-4% ในช่วงปี 2564-2566
? สมมติฐานอื่น ๆ จะใกล้เคียงกับแนวโน้มในอดีต
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? สะท้อนความกังวลว่าบริษัทจะยังคงมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมกุ้งขาลงที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องในปี 2564 อันเกิดจากสภาวะตลาดที่ซบเซาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี 2564
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
แนวโน้มอันดับเครดิตอาจเปลี่ยนกลับมาเป็น ?Stable? หรือ ?คงที่? ได้หากผลการดำเนินงานและผลประกอบการทางการเงินของบริษัทฟื้นตัวเป็นระยะเวลานาน ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตก็สามารถเกิดขึ้นได้หากผลประกอบการทางการเงินของบริษัทยังคงถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญและต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท ซีเฟรชอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) (CFRESH)
อันดับเครดิตองค์กร: BB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
CFRESH215A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 BB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative