ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน “บ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ที่ “A” หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ที่ “BBB+” และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday May 11, 2021 16:32 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A? รวมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน (MINT18PA) ของบริษัทที่ระดับ ?BBB+? ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 6 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ ?A? ด้วย ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้ที่จะครบกำหนด

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่เข้มแข็งของบริษัทจากการมีแบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่งและทำเลที่ตั้งของธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารที่ครอบคลุม ทริสเรทติ้งคาดว่าสถานะเครดิตของบริษัทยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันไปอีกในระยะ 12-24 เดือนข้างหน้า จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้งคาดว่าจะเห็นผลการดำเนินงานของบริษัทค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมในทวีปยุโรปตั้งแต่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 เป็นต้นไป จากการที่หลาย ๆ ประเทศในยุโรปกำลังดำเนินการในการฉีดวัคซีน ทริสเรทติ้งยังมีมุมมองว่าความพยายามในการลดต้นทุนดำเนินงาน การบริหารจัดการสภาพคล่องและสถานะทางการเงิน ตลอดจนการขยายเวลายกเว้นการทดสอบข้อกำหนดทางการเงินออกไปจะช่วยให้บริษัทสามารถมีเวลาและมีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการในช่วงเวลาที่ธุรกิจค่อย ๆ ฟื้นตัวในช่วงหลายไตรมาสข้างหน้าได้

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? หรือ ?ลบ? สะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งว่าการฟื้นตัวของธุรกิจของบริษัทยังมีความเปราะบางจากสถานการณ์ของโรคโควิด 19 ที่ดำเนินอยู่ การผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางยังมีความไม่แน่นอนสูงขึ้นอยู่กับการกระจายวัคซีนและประสิทธิภาพของวัคซีน

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ธุรกิจโรงแรมจะยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันต่อเนื่อง

ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจโรงแรมของบริษัทจะยังอยู่ภายใต้แรงกดดันต่อไปในระยะ 12-24 เดือนข้างหน้า ภายใต้สมมติฐานพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ของโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของจะลดลงประมาณ 45% ในปี 2564 เมื่อเทียบกับปี 2562 และรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนในปี 2565 จะอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 2562 ประมาณ 15% ก่อนจะกลับสู่ระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโรคโควิด 19 ในปี 2566

ในยุโรปซึ่งเป็นฐานสำคัญของธุรกิจโรงแรมของบริษัทนั้น การขยายระยะเวลาการปิดเมืองและการกระจายวัคซีนที่ล่าช้ากว่าคาดในหลาย ๆ ประเทศส่งผลให้การเริ่มกลับมาดำเนินธุรกิจโรงแรมล่าช้าออกไปเป็นครึ่งหลังของปี 2564 แม้ว่าความต้องการเดินทางท่องเที่ยวและเดินทางในภูมิภาคจะอยู่ในระดับสูง แต่ทริสเรทติ้งคาดว่าความต้องการห้องพักโรงแรมจะยังไม่ฟื้นตัวในระดับสูง เนื่องจากการเดินทางระหว่างประเทศที่ใช้เวลานานหลายชั่วโมงยังมีอยู่จำกัด รวมทั้งการหายไปของการเดินทางเพื่อธุรกิจและงานอีเวนท์ต่าง ๆ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าอุปสงค์ต่อโรงแรมในยุโรปจะเริ่มมีการฟื้นตัวที่เด่นชัดขึ้นในปี 2565 และจะกลับเข้าสู่ภาวะใกล้เคียงภาวะปกติในปี 2566 จากการคาดการณ์ว่าภูมิคุ้มกันหมู่จะเกิดขึ้นทั่วไปในหลาย ๆ ภูมิภาคของโลก และกิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ

สำหรับในประเทศไทยและละตินอเมริกา ซึ่งสร้างรายได้รวมกันให้บริษัทประมาณ 20% ของธุรกิจโรงแรมนั้น การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 รอบที่ 3 ในประเทศไทย และการที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อในละตินอเมริการยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งการฉีดวัคซีนที่ยังคงล่าช้าทำให้การผ่อนคลายเรื่องการเดินทางเข้าประเทศอาจยิ่งล่าช้าออกไป ทำให้คาดว่าอุปสงค์ต่อโรงแรมจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ และจะเริ่มเห็นสัญญานการฟื้นตัวในครึ่งหลังของปีหน้า ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังคาดการณ์ว่ารายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของธุรกิจโรงแรมแบบ Management Letting Rights (MLR) จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้เร็วกว่าภูมิภาคอื่น ๆ เนื่องจากต้องพึ่งพาอุปสงค์ภายในประเทศเป็นหลัก

ธุรกิจร้านอาหารมีความยืดหยุ่นสูง

ด้วยสถานะที่แข็งแกร่งของธุรกิขร้านอาหารของบริษัท โดยเฉพาะในประเทศไทย การพัฒนาระบบให้บริการส่งอาหาร ตลอดจนมาตรการลดต้นทุนดำเนินงานต่าง ๆ ทำให้ธุรกิจร้านอาหารของบริษัทมีความยืดหยุ่นสูง และยังคงมีกำไรจากการดำเนินงานแม้จะอยู่ในภาวะที่การดำเนินธุรกิจมีความท้าทาย ในขณะที่ผลการดำเนินงานของธุรกิจร้านอาหารของบริษัทในจีนและออสเตรเลียก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทย ซึ่งมีสัดส่วนรายได้กว่า 65% ของรายได้รวมของธุรกิจร้านอาหาร ยังคงต้องเผชิญแรงกดดันจากความยืดเยื้อของการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ตลอดจนสภาวะความระมัดระวังในการใช้จ่ายของผู้บริโภคในอีกหลายไตรมาสข้างหน้า

ทริสเรทติ้งประมาณการว่ารายได้ของบริษัทจากธุรกิจร้านอาหารจะลดลงประมาณ 10% ในปี 2564 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 2.1-2.2 หมื่นล้านบาท โดยที่ระดับความรุนแรงและความยืดเยื้อของการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในระลอกที่ 3 จะเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อการคาดการณ์รายได้ดังกล่าว ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้จากธุรกิจอาหารของบริษัทจะอยู่ที่ 2.3-2.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในปี 2565-2566 จากการคาดการณ์ว่าการควบคุมการแพร่ระบาดและการฉีดวัคซีนในประเทศไทยเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้งมองว่า แบรนด์ต่าง ๆ ของบริษัทจะยังคงมียอดขายจากร้านเดิมที่อ่อนตัวอยู่ โดยเฉพาะแบรนด์ที่มีลูกค้าหลักเป็นนักท่องเที่ยว เช่น เบอร์เกอร์ คิง และ เดอะ คอฟฟี่ คลับ นอกจากนี้ การขยายสาขาใหม่ก็ยังเป็นไปได้ไม่เต็มที่นักจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

รายได้จะยังคงได้รับผลกระทบในปี 2564 ก่อนจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น

สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้รวมของบริษัทในปี 2564 จะอยู่ที่ประมาณ 7.8 หมื่นล้านบาทในปี 2564 และประมาณ 1.06 แสนล้านบาทในปี 2565 ซึ่งต่ำกว่าในปี 2562 ประมาณ 35% และ 15% ตามลำดับ และคาดว่าจะกลับไปอยู่ในระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในปี 2566 ที่ระดับ 1.23 แสนล้านบาท ในขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันในปี 2564 แต่จะดีกว่าในปี 2563 จากมาตรการลดต้นทุนต่าง ๆ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 15% ในปี 2564 เทียบกับ 3.4% ในปี 2563 ซึ่งบริษัทให้ข้อมูลว่าสามารถลดต้นทุนการดำเนินงานลงได้อย่างถาวรประมาณ 3 พันล้านบาท จากมาตรการลดต้นทุนต่าง ๆ ที่ทำในปี 2563 โดยเฉพาะส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายพนักงาน และบริษัทได้มีมาตรการลดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากการลดขนาดองค์กรของ NH Hotel Group SA ซึ่งจะช่วยให้บริษัทประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้อีก 1.5-2 พันล้านบาท ซึ่งจะเห็นผลเต็มที่ในปี 2565 นอกจากนี้ บริษัทจะมีการบริหารจัดการต้นทุนเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับระดับการฟื้นตัวของธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ระดับ 26%-28% ในปี 2565-2566 ซึ่งจะเป็นกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ระดับ 1.1-1.2 หมื่นล้านบาทในปี 2564 ที่ระดับ 2.8 หมื่นล้านบาทในปี 2565 และ 3.3 หมื่นล้านบาทในปี ในปี 2566

ระดับหนี้สินจะยังสูงอย่างต่อเนื่อง

ด้วยสภาวะรายได้ที่อ่อนแออย่างยาวนาน ทำให้คาดว่าระดับหนี้สินของบริษัทจะยังอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้ทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทจะสูงใกล้ระดับ 20 เท่าในปี 2564 ก่อนจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 7-8 เท่าในปี 2565 และต่ำกว่า 7 เท่าในปี 2566

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีแผนลงทุน 4.5-6.5 พันล้านบาทต่อปีในปี 2564-2565 และ 1.3-1.4 หมื่นล้านบาทในปี 2566 และได้รวมการคาดการณ์ว่าบริษัทจะมีการขายสินทรัพย์บางส่วนออกไปจำนวน 1-1.5 หมื่นล้านบาทในปี 2564 และ 1-1.5 หมื่นล้านบาทในปี 2565-2566 ตามแผนการปรับงบดุลของบริษัท

ทั้งนี้ หนี้สินทางการเงินได้รับการปรับปรุงด้วยภาระค้ำประกัน รวมทั้งภาระผูกพันที่มีกับบริษัทที่เกี่ยวข้องในสัญญาเช่าดำเนินงาน และหนี้สินอันเกิดจากตราสารหนี้ที่มีลักษณะคล้ายทุน (Perpetual Securities) ตามเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตนั้น ทริสเรทติ้งพิจารณาให้เงินต้นคงค้างของหุ้นกู้ประเภทด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนจำนวน 1.5 หมื่นล้านบาทเป็นทุน 50% และอีก 50% เป็นหนี้สินทางการเงิน ในขณะที่หุ้นกู้ประเภทไม่ด้อยสิทธิและมีประกันลักษณะคล้ายทุนจำนวนรวม 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นั้น ทริสเรทติ้งถือว่าเป็นหนี้สินทางการเงินทั้งจำนวน

การรักษาเงินสดสนับสนุนสถานะสภาพคล่อง

บริษัทมีการดำเนินการหลายอย่างในการรักษาเงินสดและเสริมสถานะสภาพคล่องให้เข้มแข็งในระยะ 12 เดือนข้างหน้า ณ เดือนธันวาคม 2563 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดในมือจำนวนประมาณ 2.6 หมื่นล้านบาทและมีวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนอีกจำนวนประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานเป็นบวกเล็กน้อยในปี 2564 ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระรวมประมาณ 6.3 พันล้านบาท มีภาระผูกพันในสัญญาเช่าดำเนินงานประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท และมีแผนการลงทุนประมาณ 4.6 พันล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดหวังให้บริษัทสำรองเงินสดและรักษาสภาพคล่องให้เพียงพอที่จะรับมือกับภาวะความเสี่ยงในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับสูงกว่าที่ธุรกิจจะเริ่มฟื้นตัวได้อย่างมั่นคง

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ของโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของจะลดลงประมาณ 45% เมื่อเทียบกับปี 2562 และรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนในปี 2565 จะอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 2562 อยู่ประมาณ 15% ก่อนจะกลับสู่ภาวะปกติก่อนเกิดโรคโควิด 19 ในปี 2566

? รายได้ของบริษัทจากธุรกิจร้านอาหารจะอยู่ที่ 2.1-2.2 หมื่นล้านบาทในปี 2564 และ 2.3-2.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในปี 2565-2566

? รายได้รวมของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 7.8 หมื่นล้านบาทในปี 2564 และประมาณ 1.06 แสนล้านบาทในปี 2565 และที่ระดับ 1.23 แสนล้านบาทในปี 2566

? กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ระดับประมาณ 15% ในปี 2564 และเพิ่มขึ้นเป็น 26%-28% ในปี 2565-2566

? ค่าใช้จ่ายลงทุนจะอยู่ที่ 4.5-6.5 พันล้านบาทต่อปีในปี 2564-2565 และ 1.3-1.4 หมื่นล้านบาทในปี 2566

? บริษัทจะมีการขายสินทรัพย์บางส่วนออกไปจำนวน 1-1.5 หมื่นล้านบาทในปี 2564 และรวม 1-1.5 หมื่นล้านบาทในปี 2565-2566

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? หรือ ?ลบ? สะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งว่าสถานะเครดิตของบริษัทยังคงต้องเผชิญกับแรงกดดันเนื่องจากการฟื้นตัวของธุรกิจยังมีความเปราะบางจากสถานการณ์ของโรคโควิด 19 ที่ดำเนินอยู่ และความไม่แน่นอนต่อการผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางทั่วโลกซึ่งขึ้นอยู่กับการกระจายวัคซีนและประสิทธิภาพของวัคซีนเป็นอย่างมาก

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 มีความยืดเยื้อ ส่งผลให้การฟื้นตัวของธุรกิจและการลดระดับภาระหนี้สินทางการเงินของบริษัทล่าช้าออกไป การลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากสถานะสภาพคล่องของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีสาระสำคัญ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับมาเป็น ?Stable? หรือ ?คงที่? ได้ หากสถานการณ์ของโรคโควิด 19 พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้สภาวะสังคมและเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ และบริษัทแสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินงานและสถานะเครดิตที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน (Hybrid Securities), 12 กันยายน 2561

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT)

อันดับเครดิตองค์กร: A

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

MINT21OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 300.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 A

MINT223A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 4,079.70 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A

MINT223B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 3,620.30 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A

MINT228A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 2,700.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A

MINT243A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 4,635.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A

MINT243B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 2,165.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A

MINT249A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 1,000.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A

MINT255A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 4,000.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A

MINT283A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 1,000.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A

MINT293A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 1,815.40 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 A

MINT293B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 5,684.60 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 A

MINT313A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 1,200.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 A

MINT313B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 1,570.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 A

MINT313C: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 2,430.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 A

MINT329A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 1,000.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575 A

MINT343A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 3,070.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2577 A

MINT343B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 2,430.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2577 A

MINT18PA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 15,000.00 ล้านบาท BBB+

หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 4 ปี A

แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ