ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. ซีพี ออลล์” ที่ “A+” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 1, 2021 10:49 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่?

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทซึ่งเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ การเป็นผู้นำในธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อในประเทศไทย ลักษณะของธุรกิจค้าปลีกที่สร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน การมีเครือข่ายสาขาที่แข็งแกร่งและครอบคลุมทั่วประเทศ และการมีธุรกิจสนับสนุนที่เข้มแข็ง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวยังมีข้อจำกัดจากภาระหนี้ของบริษัทที่เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่ส่งผลลดทอนกำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศรวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างเชื่องช้า

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

รายได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากผลกระทบของโรคโควิด 19

ผลการดำเนินงานของบริษัทได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยการปิดเมือง (Lockdown) และการจำกัดการเดินทางในช่วงการระบาดระลอกแรกตลอดจนภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำได้ส่งผลให้ยอดขายและจำนวนลูกค้าของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทลดลง 4.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าโดยมาอยู่ที่ระดับ 5.5 แสนล้านบาทในปี 2563 และลดลงอีก 8.5% ในไตรมาสแรกของปี 2564 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 โดยมาอยู่ที่ระดับ 1.3 แสนล้านบาท ยอดขายจากสาขาเดิมของร้านสะดวกซื้อ ?7-Eleven? หดตัวลงถึง 14.5% ในปี 2563 และ 17.1% ในไตรมาสแรกของปี 2564 ทั้งนี้ รายได้ของร้าน 7-Eleven ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการหายไปของนักท่องเที่ยวต่างชาติและจากการหดตัวของกำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศ ในขณะที่ห้าง ?แม็คโคร? ในฐานะที่เป็นผู้จำหน่ายสินค้าอาหารนั้นกลับมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าร้านค้าสะดวกซื้อ กล่าวคือ แม้ว่ารายได้จากกลุ่มธุรกิจร้านอาหารจะลดลง แต่ห้างแม็คโครก็ได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มความนิยมของประชาชนในการประกอบอาหารเองที่บ้านในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งส่งผลให้ยอดขายจากสาขาเดิมของห้างแม็คโครปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.9% ในปี 2563 และลดลงเพียงเล็กน้อยที่ระดับ 1.2% ในไตรมาสแรกของปี 2564

สำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปี 2564 นี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าการดำเนินงานของบริษัทจะยังคงเผชิญกับความท้าทายในหลาย ๆ ด้านต่อไป ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ระลอกใหม่ซึ่งมีระดับความรุนแรงและควบคุมได้ยากกว่าการระบาดในระลอกแรกและระลอกที่สอง ตลอดจนการกระจายวัคซีนภายในประเทศที่ล่าช้ายังคงเป็นปัจจัยเหนี่ยวรั้งการฟื้นตัวในภาคการท่องเที่ยวและการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศต่อไป ทริสเรทติ้งคาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นในช่วงปลายปี 2564 และจะกลับเข้าสู่ภาวะใกล้เคียงภาวะปกติได้ภายในปี 2565 เมื่อมีการกระจายวัคซีนให้แก่ประชาชนอย่างกว้างขวางแล้วโดยที่มาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศมีการผ่อนคลายลงและกิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่ากลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าในช่องทางที่หลากหลาย (Omni-channel) ประกอบกับการเสนอสินค้าและบริการใหม่ ๆ ที่เพิ่มขึ้นตลอดจนการผสานประโยชน์จากการซื้อกิจการในช่วงที่ผ่านมาน่าจะช่วยให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งได้ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า

อัตรากำไรอ่อนแอลงแต่คาดว่าจะค่อยๆปรับตัวดีขึ้น

บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานที่ลดลงจากการลดลงอย่างมากของจำนวนลูกค้าและจากสัดส่วนรายได้ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายลดลง 7.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 4.9 หมื่นล้านบาทในปี 2563 และลดลง 17.7% มาอยู่ที่ระดับ 1.1 หมื่นล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2564 อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทอยู่ที่ระดับ 8.9% ในปี 2563 และระดับ 8.5% ในไตรมาสแรกของปี 2564 ลดลงจากระดับ 9.2%-9.5% ในระหว่างปี 2560-2562 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการใช้กลยุทธ์ด้านราคาและส่งเสริมการขายในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำรวมทั้งจากการลดลงของสัดส่วนรายได้จากร้าน 7-Eleven ซึ่งมีอัตรากำไรที่สูงกว่าห้างแม็คโคร นอกจากนี้ ยอดขายที่ลดลงยังทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการประหยัดจากขนาด (Economy of Scale) ที่ลดลงอีกด้วย

นอกจากรายได้ของบริษัทจะลดลงแล้ว ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังได้รับผลกระทบจากภาระดอกเบี้ยเงินกู้ในการซื้อกิจการที่ผ่านมาอีกด้วยซึ่งส่งผลให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและต้นทุนทางการเงินจำนวน 2.9 พันล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2564 โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 1 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่งผลให้กำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ระดับ 2.6 พันล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2564 ซึ่งลดลง 54% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 9% ในปี 2564 จากกลยุทธ์กระตุ้นยอดขายของบริษัท ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกับระดับก่อนเกิดโรคโควิด 19 ที่ 9.3%-9.5% ในช่วงปี 2565-2566 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทจะมีส่วนแบ่งกำไรเพียงเล็กน้อยและบริษัทจะไม่มีเงินปันผลรับจากการซื้อกิจการห้าง ?โลตัส? ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ เนื่องจากผลการดำเนินงานของห้างโลตัสที่อ่อนตัวลงจากผลกระทบของโรคโควิด 19 ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแปลงร้านและการปรับปรุงแบรนด์ที่สูง รวมถึงภาระดอกเบี้ยจากการกู้เงินที่ใช้ในการซื้อกิจการอีกจำนวน 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ผ่านการดำเนินการของบริษัทลูกผู้ซื้อกิจการคือ บริษัท ซี.พี. รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด

ภาระหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากจากการก่อหนี้เพื่อซื้อกิจการ

ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการก่อหนี้เพื่อซื้อกิจการที่ผ่านมา โดยหนี้สินทางการเงินของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.8 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 จากระดับ 1.8 แสนล้านบาทในปี 2562 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 75% จากระดับ 67.5% ในปี 2562 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 6.2 เท่าในไตรมาสแรกของปี 2564 จากระดับ 3.5 เท่าในปี 2562

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1.8-2.1 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้าเพื่อใช้ในการขยายร้านค้า 7-Eleven จำนวน 700 แห่งและห้างแม็คโครอีกประมาณ 6-8 สาขาต่อปีทั้งในประเทศและต่างประเทศ แม้ว่าจะมีแผนการลงทุนจำนวนมาก แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวลดลง โดยทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 5 เท่าในปี 2566 และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 70% ในช่วงเวลาเดียวกัน

สภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอ

ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทจะมีเพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 แหล่งเงินทุนของบริษัท ประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 3.7 หมื่นล้านบาทและคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทในปี 2564 จะอยู่ที่ระดับประมาณ 3.3 หมื่นล้านบาท ทริสเรทติ้งประเมินว่าเงินสดในมือและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทมีเพียงพอสำหรับใช้ในการชำระหนี้ที่จะครบกำหนดจำนวนประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท รวมถึงใช้เป็นค่าใช้จ่ายตามแผนลงทุนประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท และจ่ายเงินปันผลอีกจำนวน 8 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีเงินกู้ระยะสั้นชั่วคราว (Bridge Loan) คงเหลืออีกจำนวน 6.1 หมื่นล้านบาทที่จะครบกำหนดชำระในช่วงกลางปี 2565 อีกด้วย โดยบริษัทมีแผนจะนำเงินที่ได้จากการออกตราสารหนี้ชุดใหม่ในเดือนมิถุนายน 2564 ไปจ่ายชำระคืนหนี้เงินกู้ระยะสั้นชั่วคราวดังกล่าว

ตามข้อกำหนดทางการเงินของตราสารหนี้ที่ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (ไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) ให้ต่ำกว่ำ 2 เท่านั้น ณ เดือนมีนาคม 2564 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.6 เท่าซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทน่าจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดช่วงระยะเวลาประมาณการ

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 1% ในปี 2564 และจะเติบโตที่ระดับ 7%-8% ต่อปีในช่วงปี 2565-2566

? อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะอยู่ที่ระดับประมาณ 8.9%-9.5% ในระหว่างปี 2564-2566

? ค่าใช้จ่ายลงทุนจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.8-2.1 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2566

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะความเป็นผู้นำและความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนยังคงมีผลการดำเนินงานทางการเงินที่ดีต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าการมีเงินสดในระดับที่สูงและกระแสเงินสดที่มั่นคงจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินในการลงทุนในอนาคตตามแผนของบริษัทได้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากโครงสร้างเงินทุนและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงกว่าที่คาด หรือบริษัทมีการก่อหนี้เพื่อขยายการลงทุนจำนวนมากจนส่งผลให้โครงสร้างเงินทุนและความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทคาดว่าจะอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL)

อันดับเครดิตองค์กร: A+

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

CPALL221A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A+

CPALL22NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 9,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A+

CPALL233B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A+

CPALL256B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 13,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A+

CPALL263B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 10,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A+

CPALL271A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,466 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A+

CPALL275A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,698.7 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A+

CPALL27NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 9,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A+

CPALL283B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A+

CPALL291A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,920 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 A+

CPALL305A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,169.3 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 A+

CPALL305B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,350 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 A+

CPALL311A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,614 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 A+

CPALL313A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 A+

CPALL325A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,632 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575 A+

CPALL359A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,450 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2578 A+

CPALL363A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2579 A+

หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 66,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 15 ปี A+

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ