ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท สหกลอิควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB-? พร้อมทั้งปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น ?Stable? หรือ ?คงที่? จาก ?Negative? หรือ ?ลบ? การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ดีขึ้นมากกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้ ซึ่งจะช่วยให้กระแสเงินสดของบริษัทอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ตลอดอายุสัญญาโครงการ
อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงธุรกิจหลักของบริษัทที่มีความแข็งแกร่งในการเป็นผู้รับเหมาทำเหมืองแร่ ตลอดจนการมีกระแสเงินสดที่มีเสถียรภาพจากการมีสัญญาจ้างงานระยะยาวกับเจ้าของงานซึ่งมีฐานะทางการเงินที่มีความน่าเชื่อถือสูง ทว่าอันดับเครดิตถูกลดทอนจากขอบเขตการประกอบธุรกิจที่ค่อนข้างเฉพาะทาง และความเสี่ยงจากการที่ผลประกอบการของบริษัทจะขึ้นอยู่กับงานไม่กี่โครงการ
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ผลงานเป็นที่ยอมรับและเป็นผู้เชี่ยวชาญในการรับเหมาทำเหมืองแร่
บริษัทเป็นผู้รับเหมาทำเหมืองที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับมาอย่างยาวนานในการทำเหมืองแร่ทั้งในรูปแบบผู้รับเหมาหลักหรือในรูปแบบผู้ปฏิบัติการร่วมโครงการขุดขนดินและถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะมาแล้วหลายโครงการตลอดระยะเวลามากกว่า 30 ปี
บริษัทมีจุดแข็งในด้านการมีทีมวิศวกรเหมืองแร่ที่มีประสบการณ์สูง และมีเครื่องจักรที่ใช้ในงานเหมืองที่มีความพร้อม โดยบริษัทชนะการประมูลงานและมีสัญญาระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านเหมืองแร่ที่มีความชำนาญสูงและใช้เงินลงทุนจำนวนมาก จากอุปสรรคในการเข้ามาของผู้แข่งขันรายใหม่ ธุรกิจนี้จึงมีผู้รับเหมาเพียงไม่กี่ราย โดย กฟผ. จะระบุชื่อของบริษัทเอาไว้ในรายชื่อของผู้รับเหมาที่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติการรับงานซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการรับงานเหมืองของบริษัทได้เป็นอย่างดี
บริษัทยังมองหาโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) โดยบริษัทได้ลงนามในสัญญาให้บริการทำเหมืองถ่านหินลิกไนต์กับ Hongsa Power Co., Ltd. (HPC) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตไฟฟ้าระดับแนวหน้าใน สปป. ลาว โครงการนี้ถือว่าเป็นการเริ่มต้นสู่โอกาสใหม่ในการขยายงานไปในต่างประเทศของบริษัท
กระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากสัญญาระยะยาว
บริษัทมีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากสัญญาจ้างงานระยะยาวและการมีผู้ว่าจ้างที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตต่ำ ได้แก่ กฟผ. และ HPC ทั้งนี้ บริษัทมีมูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบจำนวนมากพอสมควรซึ่งจะช่วยรักษาระดับรายได้ของบริษัทได้ในระยะปานกลาง บริษัทมีมูลค่างานที่ยังไม่ส่งมอบจำนวน 2.18 หมื่นล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2564 ซึ่งประกอบด้วยโครงการขุดขนดินและถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะ ระยะที่ 8 มูลค่า 1.22 หมื่นล้านบาท โครงการเหมืองหงสาใน สปป. ลาว มูลค่า 7.7 พันล้านบาท และโครงการบริหารจัดการและซ่อมบำรุงระบบสายพานลำเลียงของเสียและเถ้าถ่านหินมูลค่า 1.9 พันล้านบาท ซึ่งโครงการทั้งหมดจะแล้วเสร็จในช่วงปี 2568-2569
นอกจากมูลค่างานที่มีในปัจจุบัน บริษัทได้เซ็นสัญญางานใหม่กับ HPC ในโครงการขยายขอบบ่อขุดทางทิศเหนือ มีมูลค่างานประมาณ 830 ล้านบาท ซึ่งโครงการนี้จะช่วยรักษาระดับรายได้ของบริษัทไปอีก 5 ปีโดยเริ่มตั้งแต่ปี 2565
ผลการดำเนินงานปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับปกติ
บริษัทมีผลการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเหตุดินถล่มที่โครงการเหมืองแม่เมาะ ระยะที่ 8 ในปี 2561 ซึ่งจากการเกิดดินถล่มในพื้นที่ทิ้งดินทำให้อุปกรณ์และเครื่องจักรในการทำเหมืองได้รับความเสียหาย อีกทั้งการกู้ความเสียหายมีความล่าช้ากว่าที่คาดเอาไว้จึงส่งผลกระทบอย่างมากต่ออัตรากำไรของบริษัทในปี 2561 และปี 2562 อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 2563 ถึงไตรมาสแรกของปี 2564 ปรับเพิ่มขึ้นดีกว่าประมาณการของทริสเรทติ้ง โดยอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทอยู่ที่ 21.7% ในปี 2563 และ 31.4% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 ซึ่งสูงกว่าประมาณการของทริสเรทติ้งที่ระดับ 16%-22% และเป็นการปรับเพิ่มขึ้นจากระดับเพียง 5% ในปี 2561 อัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นนี้มาจากการที่บริษัทมีการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นจากการใช้ระบบสายพานลำเลียงในโครงการเหมืองแม่เมาะ ระยะที่ 8 และมีการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทริสเรทติ้งยังคงมองว่าเหตุการณ์ดินถล่มเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ภายใต้ประมาณการพื้นฐาน คาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ 4.2-4.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2566 อัตรากำไรขั้นต้นจะรักษาระดับอยู่ที่ประมาณ 21%-24% และอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะอยู่ที่ระดับเกินกว่า 35% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ เงินทุนจากการดำเนินงานคาดว่าจะอยู่ในช่วง 1.4-1.6 พันล้านบาทต่อปี เนื่องจากบริษัทยังคงมีภาระดอกเบี้ยจ่ายในระดับสูง
มีความเสี่ยงสูงจากการประกอบธุรกิจที่เฉพาะทางและการกระจุกตัวของโครงการดำเนินงาน
อันดับเครดิตถูกลดทอนจากธุรกิจที่ค่อนข้างจำกัดของบริษัทแม้ว่าบริษัทจะมีความแข็งแกร่งในธุรกิจหลัก บริษัทจะมีความเสี่ยงสูงมากหากไม่สามารถหางานใหม่มาทดแทนงานโครงการปัจจุบันที่กำลังจะเสร็จสิ้น การที่บริษัทไม่ได้งานในโครงการที่เข้าประมูลนั้นจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อรายได้ในอนาคตของบริษัท
ยิ่งไปกว่านั้น งานที่ยังไม่ส่งมอบก็เป็นโครงการขนาดใหญ่จำนวนเพียง 2 โครงการเท่านั้น โดยบริษัทมีโครงการเหมืองแม่เมาะเป็นแหล่งรายได้หลักที่คิดเป็นสัดส่วนถึงประมาณ 70%-85% ของรายได้โดยเฉลี่ยของบริษัทในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ในปัจจุบันโครงการที่มีมูลค่าสูงสุดคือโครงการขุดขนดินและถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะ ระยะที่ 8 คิดเป็น 56% ของมูลค่างานที่ยังไม่ส่งมอบทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นโครงการจากเหมืองหงสา ดังนั้น หากโครงการใดของบริษัทมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญก็จะส่งผลกระทบต่อสถานะการเงินโดยรวมของบริษัทโดยตรง
จากการที่โครงการเหมืองภายในประเทศมีการประมูลใหม่ไม่มาก ดังนั้น บริษัทจึงจำเป็นต้องขยายธุรกิจไปในต่างประเทศ แต่กระนั้นบริษัทก็ต้องเผชิญกับความเสี่ยงของประเทศและความเสี่ยงจากผู้ว่าจ้างที่มีสูงกว่าด้วยเช่นกัน ในปีที่ผ่านมา บริษัทและหุ้นส่วนของบริษัทในประเทศเมียนมาร่วมกันจัดตั้งกิจการร่วมค้าเพื่อพัฒนาและดำเนินงานโครงการเหมืองถ่านหินเมืองก๊กในรัฐฉานของประเทศเมียนมาภายใต้สัญญาสัมปทานระยะยาว แต่เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) และสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ทำให้ปัจจุบันแผนการพัฒนาโครงการเหมืองถ่านหินแห่งนี้จำเป็นต้องหยุดไว้ชั่วคราว ซึ่งทริสเรทติ้งยังคงกังวลกับความเสี่ยงของประเทศและความเสี่ยงของคู่สัญญาที่อยู่ในระดับสูง
ภาระหนี้คาดว่าจะค่อย ๆ ลดลง
ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะค่อย ๆ ลดลงจากระดับปัจจุบันในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทจะมีภาระหนี้จำนวนมากในช่วงเริ่มต้นของแต่ละโครงการ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเงินลงทุนสูงสำหรับอุปกรณ์และเครื่องจักรขนาดใหญ่ชุดใหม่ ทริสเรทติ้งมองว่าภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูงจะได้รับการชดเชยด้วยรายได้ที่สม่ำเสมอจากโครงการ และคาดว่าภาระหนี้จะค่อย ๆ ลดลงตลอดช่วงสัญญาของโครงการ
ภาระหนี้ของบริษัทอยู่ที่ 6.5 พันล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2564 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ 70.5% ณ เดือนมีนาคม 2564 ลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 73.4% ในปี 2563 และ 77.7% ในปี 2562 ซึ่งอัตราส่วนที่ลดลงเนื่องจากผลการดำเนินงานที่กลับสู่ระดับปกติของโครงการเหมืองแม่เมาะ ระยะที่ 8 จากประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะอยู่ที่ 70% ในปี 2564 และจะลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ประมาณ 65% ในช่วง 2 ปีถัดไป ทั้งนี้ ภาระหนี้ยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างสูงแม้ว่าบริษัทจะยังมีกระแสเงินสดจากความก้าวหน้าของงานก็ตาม อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินคาดว่าจะอยู่ที่ระดับเกินกว่า 20% ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายคาดว่าจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 3.5 เท่า
สภาพคล่องที่สามารถจัดการได้
จากการฟื้นคืนของกระแสเงินสดของบริษัท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีความระมัดระวังในการบริหารจัดการสภาพคล่องได้ โดยบริษัทมีเงินสดจำนวน 221 ล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2564 และมีวงเงินกู้ยืมระยะยาวที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 62 ล้านบาท ในขณะที่ภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้ามีจำนวน 2.2 พันล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 680 ล้านบาท เงินกู้สัญญาเช่าและเงินกู้ยืมโครงการอีกจำนวน 1.2 พันล้านบาทและหุ้นกู้จำนวน 300 ล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 1.3-1.4 พันล้านบาท บริษัทจะชำระคืนเงินกู้ยืมโครงการด้วยเงินสดที่ได้รับตามความก้าวหน้าของโครงการ หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนนั้นบริษัทจะชำระคืนด้วยเงินสดจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่และเงินกู้ยืมระยะสั้นนั้นบริษัทจำเป็นจะต้องต่ออายุต่อไป
ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของหุ้นกู้ บริษัทจะต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 3.5 เท่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 อัตราส่วนนี้อยู่ที่ 2.45 เท่า
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
ทริสเรทติ้งตั้งสมมติฐานกรณีพื้นฐานสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปี 2564-2566 ดังนี้
? รายได้ของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 4.2-4.5 พันล้านบาทต่อปี
? อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้คาดว่าจะอยู่ในช่วง 35%-40%
? เงินลงทุนคาดว่าจะอยู่ที่ 2-2.3 พันล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะรักษาความสามารถในการแข่งขันในฐานะผู้รับเหมางานเหมืองเอาไว้ได้ อีกทั้งบริษัทจะสามารถดำเนินโครงการได้ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาจ้างงานและสร้างกระแสเงินสดในระดับที่เหมาะสมได้จนจบแผนงาน ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้อยู่ในระดับเกินกว่า 35% ได้ ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินคาดว่าจะอยู่ที่ระดับเกินกว่า 20% ซึ่งจะทำให้ภาระหนี้ของบริษัทคาดว่าจะค่อย ๆ ลดลงตามความก้าวหน้าของโครงการ
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทต่ำกว่าที่คาดไว้ ยิ่งไปกว่านั้น อันดับเครดิตจะได้รับผลกระทบในด้านลบหากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่า 20% เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง อันดับเครดิตยังไม่มีแนวโน้มที่จะมีการปรับเพิ่มในอนาคตอันใกล้เนื่องจากคาดว่าภาระหนี้จะยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตจะมีการปรับเพิ่มขึ้นได้หากกระแสเงินสดของบริษัทปรับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบันพร้อมกันกับการลดลงของภาระหนี้
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท สหกลอิควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (SQ)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable