ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทลูกหลัก (Core Subsidiary) ของ บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) (ได้รับอันดับเครดิต ?BBB/Stable? จากทริสเรทติ้ง) ซึ่งตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ? ของทริสเรทติ้งนั้น อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทจะเท่ากับอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทเจมาร์ท
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
เป็นบริษัทลูกที่เป็นธุรกิจหลักของกลุ่มเจมาร์ท
ทริสเรทติ้งพิจารณาเห็นว่าบริษัทเป็นบริษัทลูกหลักที่สำคัญของกลุ่มเจมาร์ท โดยบริษัทมีบทบาทที่สำคัญในธุรกิจด้านการเงินของกลุ่มซึ่งเป็นธุรกิจแกนหลักของนโยบายการดำเนินธุรกิจที่กระจายตัวของกลุ่ม คณะผู้บริหารและคณะกรรมการของบริษัทและบริษัทเจมาร์ทมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด โดยทิศทางธุรกิจและเป้าหมายทางการเงินของบริษัทได้รับการกำหนดโดยบริษัทเจมาร์ทผ่านทางคณะกรรมการของบริษัท ทั้งนี้ การใช้ประโยชน์จากฐานลูกค้าของกลุ่มเจมาร์ททำให้บริษัทสามารถขยายบริการและฐานลูกค้าได้อย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าบริษัทจะไม่ได้รับวงเงินกู้จากบริษัทเจมาร์ท แต่บริษัทก็ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากการเพิ่มทุนผ่านการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมองว่าบริษัทมีความเชื่อมโยงที่ใกล้ชิดกับชื่อเสียงของบริษัทเจมาร์ทผ่านการใช้ชื่อแบรนด์เดียวกันอีกเช่นกัน
สร้างผลกำไรสุทธิอย่างมีนัยสำคัญต่อกลุ่มเจมาร์ท
บริษัทเป็นผู้สร้างกำไรสุทธิให้แก่กลุ่มมากที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทในกลุ่มเจมาร์ทรายอื่น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันถึงสถานะในการเป็นบริษัทลูกหลัก (Core subsidiary) ของบริษัทเจมาร์ท โดยบริษัทสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่น่าพอใจเสมอมา ซึ่งในปี 2563 รายได้รวมและกำไรสุทธิของบริษัทมีสัดส่วน 27% และ 80% ของรายได้รวมและกำไรสุทธิรวมของบริษัทเจมาร์ทตามลำดับ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาระดับการทำกำไรที่แข็งแกร่งเช่นนี้เอาไว้ได้จากการลงทุนอย่างต่อเนื่องในธุรกิจการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ ทั้งนี้ ในปี 2563 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทอยู่ที่ระดับ 51.1% เพิ่มขึ้นจาก 44.8% ในปี 2562 จากการที่สัดส่วนของสินทรัพย์ที่ตัดจำหน่ายต้นทุนครบแล้วมีจำนวนมากขึ้น ซึ่งทำให้บริษัทสามารถรับรู้เงินสดที่ได้รับจากการจัดเก็บหนี้เป็นรายได้ได้ทั้งจำนวน
มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพที่ไม่มีหลักประกัน
บริษัทยังคงรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพที่ไม่มีหลักประกัน ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากการมีฐานข้อมูลการติดตามหนี้ที่ยาวนานมากกว่า 20 ปีซึ่งมีส่วนช่วยให้บริษัทสามารถรักษาการเติบโตทางธุรกิจและประสิทธิภาพในการดำเนินงานเอาไว้ได้ ทั้งนี้ บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ไม่ใช่สถาบันการเงินในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพที่ไม่มีหลักประกัน ในปี 2563 บริษัทมีมูลหนี้คงค้างของหนี้ด้อยคุณภาพอยู่ที่ 2.1 แสนล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นส่วนที่ตัดจำหน่ายต้นทุนครบแล้วจำนวน 4.3 หมื่นล้านบาท ในปี 2563 บริษัทได้ซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารโดยใช้เงินลงทุนไปจำนวน 3.5 พันล้านบาท ต่อมาในปี 2564 บริษัทได้ใช้งบประมาณจำนวน 6 พันล้านบาทในการลงทุนซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารเพิ่มเติม โดยในไตรมาสแรกของปี 2564 บริษัทได้ลงทุนซื้อหนี้ด้อยคุณภาพไปแล้วจำนวน 1.8 พันล้านบาท ทั้งนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาบริษัทได้เริ่มขยายเข้าสู่การบริหารหนี้ด้อยคุณภาพที่มีหลักประกัน ถึงแม้ว่าสัดส่วนของหนี้ด้อยคุณภาพที่มีหลักประกันจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังถือว่าเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมุ่งเน้นในส่วนของหนี้ด้อยคุณภาพที่ไม่มีหลักประกันซึ่งบริษัทมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างดีต่อไป
ความร่วมมือและการสนับสนุนธุรกิจการเงินภายในกลุ่ม
การให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้สินเป็นจุดแข็งอีกด้านหนึ่งของบริษัท กลุ่มลูกค้าหลักที่บริษัทได้รับการว่าจ้างให้ติดตามเร่งรัดหนี้สินประกอบไปด้วยสถาบันการเงิน ตลอดจนผู้ให้บริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ ธุรกิจสินเชื่อเพื่ออุปโภคและบริโภค (Consumer Lending) และธุรกิจอื่น ๆ บริษัทมีภาระหนี้คงค้างที่ได้รับมอบหมายให้ติดตามที่ระดับประมาณ 3 หมื่นล้านบาทในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาและมีรายได้จากค่าบริการติดตามเร่งรัดหนี้สินในสัดส่วนประมาณ 11% ของรายได้รวมในปี 2563 ซึ่งอยู่ที่จำนวน 362 ล้านบาท ในขณะที่ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 อยู่ที่ 92 ล้านบาท
นอกเหนือจากการดำเนินงานในธุรกิจปกติของบริษัทเองแล้ว บริษัทยังมีความร่วมมือกับบริษัทอื่น ๆ ในกลุ่มเจมาร์ทเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย โดยบริษัทมีการให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้สินให้แก่บริษัทที่ให้บริการสินเชื่อในกลุ่ม เช่น บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ ?BBB-/Stable? โดยทริสเรทติ้ง) บริษัท เคบี เจ แคปปิตอล จำกัด หรือเดิมชื่อ บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด และ บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด เป็นต้น นอกจากนี้ ในปี 2563 บริษัทยังได้ร่วมมือกับ บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทเจมาร์ทที่ดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์โดยได้รับการสนับสนุนด้านการช่วยปรับปรุงและจำหน่ายสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่รอการขายของบริษัทออกไปอีกด้วย
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งตั้งอยู่บนความคาดหมายที่บริษัทจะยังคงดำรงสถานะในการเป็นบริษัทลูกหลักของกลุ่มบริษัทเจมาร์ทต่อไป
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงมีสถานะเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มเจมาร์ทและยังคงมีบทบาทสำคัญในการติดตามและจัดเก็บหนี้ที่สอดคล้องกับนโยบายโดยรวมของกลุ่มอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามสถานะเครดิตของบริษัทเจมาร์ท ทั้งนี้ ในกรณีที่สถานะของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเจมาร์ทนั้นลดน้อยถอยลงก็อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) (JMT)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable