ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ที่ระดับ ?AAA? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงการประเมินของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับสถานะของบริษัทซึ่งเป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐโดยมีความสัมพันธ์กับรัฐบาลในระดับสูงสุด นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนความเห็นของทริสเรทติ้งว่ามีความเป็นไปได้มากที่บริษัทจะได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษจากภาครัฐอย่างพอเพียงและทันเหตุการณ์ในกรณีที่บริษัทประสบกับปัญหาทางด้านการเงินอีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
เป็นหน่วยงานที่มีความสัมพันธ์กับภาครัฐในระดับสูงสุด
บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด เป็นรัฐวิสาหกิจที่มีรัฐบาลไทยถือหุ้นในสัดส่วน 91% โดยบริษัททำหน้าที่เสมือนเป็นผู้ดำเนินการแทนรัฐบาลในการรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยของห้วงอากาศในเขตแดนของประเทศไทย โดยการดำเนินงานของบริษัทอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลผ่านสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ซึ่งอยู่ภายใต้สังกัดของกระทรวงคมนาคม คณะกรรมการของบริษัทจำนวน 9 คนจากทั้งสิ้น 11 คนได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาล ส่วนอีก 2 คนเป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นที่เป็นบริษัทสายการบินสมาชิก ในขณะที่แผนวิสาหกิจของบริษัทนั้นต้องได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงคมนาคมและงบประมาณการลงทุนต้องได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แล้วจึงนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อการอนุมัติต่อไป นอกจากนี้ บริษัทจะต้องส่งแผนในการกู้หรือชำระคืนเงินกู้ยืมให้แก่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะซึ่งอยู่ภายใต้สังกัดของกระทรวงการคลังอีกด้วย
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบนโยบายด้านการบินพลเรือนของประเทศเกี่ยวกับการมอบหมายให้บริษัททำหน้าที่เป็นหน่วยงานในการให้บริการการจัดการจราจรทางอากาศและบริการการเดินอากาศที่เกี่ยวเนื่องสำหรับการบินพลเรือนของประเทศไทย เป็นผลให้บริษัทไม่จำเป็นต้องต่อสัญญากับกระทรวงคมนาคมเพื่อทำหน้าที่ดังกล่าวอีกต่อไป ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าในกรณีที่มีสถานการณ์วิกฤติเกิดขึ้น รัฐบาลจะให้การสนับสนุนแก่บริษัทอย่างเต็มที่และทันเวลา
มีบทบาทที่สำคัญมากที่สุดต่อภาครัฐ
ทริสเรทติ้งมีความเห็นว่าบริษัทมีบทบาทที่สำคัญมากที่สุดในอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยในฐานะผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นผู้ให้บริการการเดินอากาศรายหลักของประเทศไทย รัฐบาลไทยในฐานะรัฐภาคีขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization -- ICAO) ได้มอบหมายให้บริษัทดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรฐานและระเบียบปฏิบัติของ ICAO เพื่อให้การขนส่งทางอากาศในบริเวณเขตแถลงข่าวการบินกรุงเทพฯ (Bangkok Flight Information Region -- BKK FIR) มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เนื่องจากการให้บริการควบคุมจราจรทางอากาศเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศ จึงมีความเป็นไปได้น้อยมากที่ภาครัฐจะอนุญาตให้เอกชนเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการดังกล่าว นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นส่วนสำคัญของแผนงานของภาครัฐในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางหลักของการบินในภูมิภาคเอเชียอีกแห่งหนึ่งด้วย
มีผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยที่ดี
บริษัทมีสถิติด้านความปลอดภัยอยู่ในระดับที่ดี โดยสถิติของอุบัติการณ์การจราจรทางอากาศของบริษัทในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยของผู้ให้บริการการเดินอากาศที่เป็นสมาชิก Civil Air Navigation Services Organization (CANSO) และเข้าร่วมการเปิดเผยข้อมูล เนื่องจากปริมาณจราจรทางอากาศที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทจึงได้ลงทุนในระบบบริหารจราจรทางอากาศระบบใหม่เพื่อปรับปรุงผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้นและเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการ โดยบริษัทได้เริ่มใช้งานระบบบริหารจราจรทางอากาศระบบใหม่อย่างเต็มรูปแบบเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563
ผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ยืดเยื้อ
ผลการดำเนินงานของบริษัทได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่ยืดเยื้อยาวนาน แม้ว่าในเดือนธันวาคม 2563 ปริมาณเที่ยวบินจะทยอยปรับตัวดีขึ้นที่ระดับประมาณ 45% ของปริมาณเที่ยวบินในช่วงก่อนการแพร่ระบาด แต่ในเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2564 ปริมาณเที่ยวบินกลับปรับตัวลดลงอย่างมากอีกครั้งโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับประมาณ 28% ของปริมาณเที่ยวบินในช่วงก่อนการแพร่ระบาดเนื่องจากในช่วงดังกล่าวมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ระลอก 2 และระลอก 3 ซึ่งทำให้รัฐบาลต้องเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการควบคุมการเดินทางและทำให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังในการเดินทางมากขึ้น เป็นผลให้บริษัทมีรายได้ปรับตัวลดลง 45% ในปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม 2562 - กันยายน 2563) และลดลง 72% ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 (ตุลาคม 2563 - มีนาคม 2564) สอดคล้องกับปริมาณเที่ยวบินที่ปรับตัวลดลง 41% ในปีงบประมาณ 2563 และ 65% ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 บริษัทมีความพยายามในการปรับลดต้นทุนเพื่อให้สอดรับกับรายได้ที่ปรับตัวลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถปรับลดต้นทุนลงได้เพียงประมาณ 15% เนื่องจากต้นทุนส่วนใหญ่ของบริษัทมีลักษณะเป็นต้นทุนคงที่ เป็นผลให้บริษัทมีค่าบริการรอเรียกเก็บขาดจากสายการบินสมาชิกจำนวน 3.4 พันล้านบาทในปีงบประมาณ 2563 และ 3.3 พันล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564
ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทจะปรับตัวลดลงในปีงบประมาณ 2564 ก่อนที่จะทยอยปรับตัวดีขึ้นในปีงบประมาณ 2565-2566 และจะปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนโรคโควิด 19 ได้อย่างเต็มที่ในปี 2567 โดยคาดว่าการฟื้นตัวจะช้ากว่าที่ทริสเรทติ้งเคยประเมินไว้เนื่องจากสถานการณ์ระบาดที่ยืดเยื้อออกไป อีกทั้งเที่ยวบินระหว่างประเทศซึ่งเคยคิดเป็นประมาณ 2 ใน 3 ของเที่ยวบินทั้งหมดที่บริษัทให้บริการในช่วงก่อนการระบาดจะฟื้นตัวกลับมาได้อย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อมีการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนเป็นวงกว้างและการฉีดวัคซีนเกิดประสิทธิผลที่ดีในพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลก ทริสเรทติ้งประมาณการว่ารายได้ของบริษัทจะลดลงไปอีกโดยจะอยู่ที่ 3.4 พันล้านบาทในปีงบประมาณ 2564 หลังจากนั้นจะทยอยฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ที่ราว ๆ 6.2 พันล้านบาทในปี 2565 และ 1.01 หมื่นล้านบาทในปี 2566 เนื่องจากต้นทุนส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นต้นทุนคงที่ ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะมีค่าบริการรอเรียกเก็บขาดจากสายการบินสมาชิกประมาณ 6.4 พันล้านบาทในปีงบประมาณ 2564 ประมาณ 4.4 พันล้านบาทในปีงบประมาณ 2565 และประมาณ 1.2 พันล้านบาทในปีงบประมาณ 2566 ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทดำเนินการภายใต้หลักการชดเชยต้นทุนที่เกิดขึ้น (Cost-recovery Basis) โดยค่าบริการได้รับการประมาณการและกำหนดให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะสามารถปรับค่าบริการเพื่อชดเชยค่าบริการรอเรียกเก็บขาดจากสายการบินสมาชิกสะสมเมื่ออุตสาหกรรมการบินกลับมาเป็นปกติ
ภาระหนี้เพิ่มขึ้น
ทริสเรทติ้งคาดว่าหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทจะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ในช่วง 4.1-6.8 พันล้านบาทในระหว่างปีงบประมาณ 2564-2566 จาก 2.9 พันล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2564 เนื่องจากทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทต้องกู้ยืมเงินเพิ่มทดแทนกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะติดลบและจัดหาเงินกู้เพื่อสนับสนุนการลงทุนตามแผนซึ่งรวมทั้งสิ้นอยู่ที่ประมาณ 2.4 พันล้านบาทในช่วงปีงบประมาณ 2564-2566 ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงประมาณการว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 87% ในปีงบประมาณ 2566 จากระดับ 75% ณ เดือนมีนาคม 2564
สภาพคล่องที่เพียงพอ
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 2.2 พันล้านบาท อีกทั้งยังมีวงเงินกู้ยืมระยะสั้นจากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้จำนวน 1.8 พันล้านบาทและวงเงินกู้ยืมระยะยาวที่คาดว่าจะเบิกใช้จำนวน 2.7 พันล้านบาทในช่วงปีงบประมาณ 2564-2566 บริษัทอยู่ระหว่างการขออนุมัติวงเงินกู้ยืมระยะสั้นเพิ่มเติมเพื่อใช้สนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนในปีงบประมาณ 2565 อีกจำนวน 1.8 พันล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนดังกล่าวเพียงพอสำหรับแผนในการใช้เงินทุนของบริษัทในอีก 12 เดือนข้างหน้าซึ่งบริษัทมีภาระหนี้ระยะยาวที่จะครบกำหนดชำระจำนวน 127 ล้านบาทและเงินลงทุนอีกจำนวน 400 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2564 โดยในปีงบประมาณ 2564 นั้น ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีกระแสเงินสดไหลออกจากการดำเนินงานประมาณ 4 พันล้านบาท
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
ในช่วงปีงบประมาณ 2564-2566 ทริสเรทติ้งมีสมมติฐานสำหรับการดำเนินงานของบริษัทดังต่อไปนี้
? รายได้ของบริษัทในปีงบประมาณ 2564 จะลดลงประมาณ 74% เมื่อเทียบกับในปีงบประมาณ 2562 และหลังจากนั้นจะปรับตัวฟื้นขึ้นเป็น 52% และ 23% ในช่วงปีงบประมาณ 2565 และ 2566 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าในปีงบประมาณ 2562
? บริษัทจะมีค่าบริการรอเรียกเก็บขาดจากสายการบินสมาชิกจำนวน 6.4 พันล้านบาทในปีงบประมาณ 2564 จำนวน 4.4 พันล้านบาทในปีงบประมาณ 2565 และจำนวน 1.2 พันล้านบาทในปีงบประมาณ 2566
? เงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ 2.4 พันล้านบาทในช่วงประมาณการ
? อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วจะเพิ่มขึ้นเป็น 87% ในปีงบประมาณ 2566
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสถานะเป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐต่อไปโดยมีความสัมพันธ์กับรัฐบาลในระดับสูงสุดและมีบทบาทที่สำคัญต่อรัฐบาลในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการการเดินอากาศรายหลักในประเทศไทย
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงได้หากระดับความสัมพันธ์หรือบทบาทของบริษัทที่มีต่อรัฐบาลเปลี่ยนแปลงไปจนถึงระดับที่ทำให้ทริสเรทติ้งมีความกังวลต่อการที่ภาครัฐจะให้การสนับสนุนที่พอเพียงและทันเหตุการณ์ในกรณีที่บริษัทประสบกับปัญหาวิกฤติทางการเงิน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตองค์กรที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ, 30 กรกฎาคม 2563
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (AEROTHAI)
อันดับเครดิตองค์กร: AAA
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable