ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ที่ระดับ ?AAA? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงระดับความสัมพันธ์ในระดับสูงระหว่าง กฟน. กับรัฐบาลไทยและบทบาทที่สำคัญของ กฟน. ในฐานะรัฐวิสาหกิจที่รับผิดชอบการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่พื้นที่ในเขตนครเมืองหลวงของประเทศ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงอุปสงค์ในการใช้ไฟฟ้าที่มากในพื้นที่ให้บริการของ กฟน. ตลอดจนกระแสเงินสดที่แน่นอนภายใต้โครงสร้างค่าไฟฟ้าที่ส่งผ่านต้นทุนได้ (Cost-plus Tariff Structure) รวมถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และนโยบายทางการเงินที่มีความระมัดระวัง
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีความสัมพันธ์กับรัฐบาลในระดับสูง
ทริสเรทติ้งประเมินว่าความสัมพันธ์ของ กฟน. กับรัฐบาลไทยนั้นอยู่ในระดับที่มีความแนบแน่นเนื่องจากรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดของ กฟน. โดยผ่านทางกระทรวงการคลัง อีกทั้ง กฟน. ยังดำเนินการต่าง ๆ ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีบทบาทในการควบคุมกลยุทธ์การดำเนินงานของ กฟน. โดยผ่านการแต่งตั้งคณะกรรมการและผู้ว่าการของ กฟน.
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่า กฟน. จะได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษจากรัฐบาลไทยอย่างทันเวลาและเพียงพอในกรณีที่รายได้ของ กฟน. ไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการชำระหนี้ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. 2501
มีบทบาทที่สำคัญในการจำหน่ายไฟฟ้าในเขตพื้นที่นครหลวงของประเทศไทย
กฟน. เป็นหนึ่งในสองรัฐวิสาหกิจที่ดูแลการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยโดยมีหน้าที่ รับผิดชอบในพื้นที่ 3 จังหวัดที่สำคัญซึ่งประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และนนทบุรี ในขณะที่รัฐวิสาหกิจอีกแห่งหนึ่งคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) (ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ ?AAA? จากทริสเรทติ้ง) นั้นรับผิดชอบในการให้บริการในพื้นที่ 74 จังหวัดที่เหลือ
สถานะเครดิตของ กฟน. สะท้อนถึงบทบาทที่สำคัญขององค์กรที่มีต่อทั้งรัฐบาลไทยและระบบการจำหน่ายไฟฟ้าของประเทศ ทั้งนี้ ภารกิจหลักของ กฟน. คือการเสริมสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และนนทบุรีซึ่งมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงถึง 27% ของการใช้ไฟฟ้ารวมของประเทศ นอกจากนี้ กฟน. ยังมีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทำแผนกลยุทธ์เพื่อสนับสนุนนโยบายและการพัฒนาระบบไฟฟ้าของประเทศอีกด้วย
ในปี 2563 กฟน. มีพื้นที่ให้บริการครอบคลุม 3,192 ตารางกิโลเมตรและดำเนินงานโครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าซึ่งมีความยาวทั้งสิ้น 53,107 วงจรกิโลเมตร รายได้ของ กฟน. อยู่ที่ประมาณ 1.91 แสนล้านบาทและมียอดจำหน่ายไฟฟ้าจำนวนทั้งสิ้น 50,662 กิกะวัตต์ชั่วโมง โดย กฟน. ซื้อไฟฟ้าเกือบทั้งหมดมาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
ได้ประโยชน์จากการให้บริการในเขตพื้นที่นครหลวงที่มีอุปสงค์ในระดับสูง
กฟน. ได้รับประโยชน์จากให้บริการในพื้นที่นครหลวงซึ่งมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าจำนวนมากและมีความแน่นอนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยปริมาณไฟฟ้าที่จำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 50,662 กิกะวัตต์ชั่วโมงในปี 2563 จาก 45,027 กิกะวัตต์ชั่วโมงในปี 2553 หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 1.9%
ทริสเรทติ้งมองว่าการมีผู้ใช้ไฟฟ้าจำนวนมากและหลากหลายประเภทนั้นถือเป็นปัจจัยบวกในการสนับสนุนความมีเสถียรภาพด้านรายได้ของ กฟน. โดยในปี 2563 กฟน. มีลูกค้าประมาณ 4.05 ล้านรายซึ่งมีอัตราการเติบโตที่ประมาณ 3% ต่อปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ กฟน. ยังได้รับประโยชน์จากอัตราค่าไฟฟ้าแบบ Progressive Rate อันเนื่องมาจากความหนาแน่นของประชากรและปริมาณการใช้ไฟฟ้าต่อผู้ใช้หนึ่งรายที่สูงอีกด้วย
มีกำไรที่มั่นคงจากโครงสร้างค่าไฟฟ้าที่ส่งผ่านต้นทุนได้
โครงสร้างค่าไฟฟ้ามีบทบาทสำคัญในการช่วยปกป้องการดำเนินงานของ กฟน. จากความเสี่ยงด้านต้นทุนค่าไฟฟ้า ทั้งนี้ โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในประเทศไทยซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) นั้นได้รับการออกแบบให้มีรายได้ครอบคลุมการลงทุนที่จำเป็นและให้ผลตอบแทนที่เพียงพอต่อการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งซึ่งได้แก่ กฟผ. กฟภ. และ กฟน. นอกจากนี้ โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้านั้นยังมีกลไกในการปรับต้นทุนค่าเชื้อเพลิงหรือค่า Ft ที่ส่งผ่านการเปลี่ยนแปลงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เป็นต้นทุนค่าไฟฟ้าไปยังผู้บริโภคปลายทางอีกด้วย ภายใต้โครงสร้างค่าไฟฟ้าดังกล่าว ทริสเรทติ้งเชื่อว่าธุรกิจของ กฟน. จะสามารถสร้างผลกำไรที่เพียงพอและมีอัตรากำไรที่มั่นคง ทั้งนี้ ส่วนต่างระหว่างราคาขายและราคาซื้อไฟฟ้าของ กฟน. ค่อนข้างคงที่โดยอยู่ในช่วง 0.99-1.03 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงในระหว่างปี 2559-2563 ที่ผ่านมา
ความสามารถในการทำกำไรอยู่ภายใต้ข้อจำกัดจากการควบคุมอัตราผลตอบแทน
อัตรากำไรของ กฟน. นั้นกูกจำกัดเนื่องจาก กฟน. มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบในการส่งมอบรายได้ส่วนเกินของ กฟน. ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจนกระทั่งสถานะการเงินของ กฟน. เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดโดย กกพ. ทั้งนี้ เนื่องจาก กฟน. ได้ประโยชน์จากการให้บริการในพื้นที่นครหลวงและสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่า กฟภ. เป็นอย่างมาก ดังนั้น กกพ. จึงกำหนดให้ กฟน. จะต้องนำส่งรายได้ส่วนหนึ่งเพื่อมาช่วยเหลือการดำเนินงานของ กฟภ. นอกจากนี้ กฟน. ยังต้องแยกรายได้ส่วนเกินที่เหลือหลังจากการคืนรายได้ระหว่างการไฟฟ้า (เงินคืนรายได้ (Clawback)) เพื่อไว้ใช้สนับสนุนมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลอีกด้วย
ในช่วงระหว่างปี 2561-2563 เงินส่วนเกินของ กฟน. ซึ่งรวมถึงจำนวนเงินที่ส่งให้ กฟภ. และเงินคืนรายได้นั้นมีจำนวนรวมประมาณ 1.78-1.96 หมื่นล้านบาท ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงมองว่ากลไกดังกล่าวนี้จะทำให้อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของ กฟน. จะจำกัดอยู่ที่ระดับไม่เกิน 10%-11%
ผลกระทบจากโรคโควิด 19 มีจำกัด
ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าโรคโควิด 19 มีผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อสถานะทางการเงินของ กฟน. โดยปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าของ กฟน. ในปี 2563 ลดลงเพียงประมาณ 5% อย่างไรก็ตาม รายได้ค่าไฟที่ลดลงได้รับการชดเชยด้วยเงินคืนรายได้และค่าใช้จ่ายพนักงานที่ลดลงจากปีก่อนหน้า นอกจากนี้ กฟน. ได้รับประโยชน์บางส่วนจากแนวโน้มการทำงานจากที่บ้าน ซึ่งส่งผลให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าจากผู้อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น โดยผู้ใช้ไฟฟ้าในกลุ่มนี้ให้อัตราค่าไฟฟ้าที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยรวม
รายได้ของ กฟน. ในปี 2563 อยู่ที่ 1.91 แสนล้านบาท ลดลง 6.4% เมื่อเทียบกับปี 2562 ในทางตรงกันข้าม กฟน. มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.5% ในขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ระดับ 8.9% ในปี 2563 เมื่อเทียบกับระดับ 7.8% ในปี 2562
สถานะทางการเงินยังคงที่เข้มแข็ง
ทริสเรทติ้งคาดว่าสถานะทางการเงินของ กฟน. นั้นจะยังคงแข็งแกร่งและเพียงพอที่จะรองรับแผนการลงทุนที่จะเพิ่มขึ้นใน 3 ปีข้างหน้าได้ ทั้งนี้ งบประมาณในการลงทุนของ กฟน. ในระหว่างปี 2564-2565 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2-2.1 หมื่นล้านบาทต่อปีและจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.05 หมื่นล้านบาทในปี 2565 ทริสเรทติ้งคาดว่าระดับเงินกู้ของ กฟน. จะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต แต่อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดที่ปรับตัวดีขึ้นและฐานทุนที่มีขนาดใหญ่นั้นถือว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยปกป้องสถานะทางการเงินของ กฟน. ไม่ให้เสื่อมถอยลงอย่างมาก
ทริสเรทติ้งยังคงคาดว่าอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของ กฟน. จะฟื้นตัวหลังการสิ้นสุดลงของการเรียกเงินคืนรายได้ที่เรียกเก็บย้อนหลังซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กำไรของ กฟน. ปรับลดลงในช่วงปี 2562- 2563 ทริสเรทติ้งคาดว่า กฟน. จะได้รับผลกระทบทางการเงินชั่วคราว จากมาตรการของรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนจากการระบาดซ้ำของโรคโควิด 19 ในปี 2564 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่า กฟน. จะได้รับเงินชดเชยเต็มจำนวนจากรัฐบาลซึ่งจะช่วยลดผลกระทบดังกล่าวลงได้ในภายหลัง โดยทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของ กฟน. จะกลับคืนสู่ระดับก่อนเกิดโรคโควิด 19 โดยจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2 หมื่นล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้า และคาดการณ์ว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของ กฟน. จะอยู่ในระดับต่ำกว่า 3.5 เท่าและอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อเงินทุนจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 40%
มีนโยบายด้านการเงินที่รอบคอบ
กฟน. มีการใช้นโยบายด้านการเงินที่รัดกุมมาโดยตลอดโดยมีการรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) ให้อยู่ในระดับไม่เกินกว่า 1.5 เท่า รวมถึงอัตราส่วนการลงทุนจากเงินรายได้ (Self-financing Raito) ไม่ให้ต่ำกว่า 25% และอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ (Debt Service Coverage Ratio) ไม่น้อยกว่า 1.5 เท่า
กฟน. มีการบริหารจัดการสภาพคล่องที่ดีโดยพิจารณาจากนโยบายในการตั้งสำรองเงินสด ในการนี้ กฟน. มีการตั้งกองทุนเพื่อชำระคืนพันธบัตรโดยเฉพาะซึ่งมีการสำรองเงินไว้รองรับการชำระคืนหนี้ล่วงหน้าในระยะ 3-4 ปี ในขณะเดียวกัน กฟน. ยังมีการตั้งบัญชีสำรองสำหรับค่าใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์เฉพาะอื่น ๆ อีกด้วย เช่น การคืนเงินประกันค่าใช้ไฟฟ้า บัญชีเงินบำเหน็จพนักงาน รวมไปถึงเงินคืนรายได้ เป็นต้น
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? ปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าของ กฟน. ในปี 2564 คาดว่าจะใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า หลังจากนั้นจะเติบโตที่ระดับ 1.5%-2% ต่อปีในช่วงปี 2565-2566
? รายได้จะปรับลดลงเล็กน้อยเป็น 1.9 แสนล้านบาทในปี 2564 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.96 แสนล้านบาทในปี 2566
? กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะเติบโตอยู่ระหว่าง 1.8-2.1 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2566
? เงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ประมาณ 7.3 หมื่นล้าบาทในระหว่างปี 2564-2566
? อัตราการนำส่งเงินรายได้คืนรัฐบาลจะอยู่ที่ระดับ 45% ของกำไรสุทธิ
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่า กฟน. จะยังคงดำรงบทบาทที่สำคัญในการจำหน่ายไฟฟ้าต่อไปไม่เปลี่ยนแปลงและ กฟน. จะยังได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอและทันเวลาจากรัฐบาลไทยในกรณีที่จำเป็น
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานะของ กฟน. รวมไปถึงบทบาทและความสำคัญของ กฟน. ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าของประเทศไทย
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตองค์กรที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ, 30 กรกฎาคม 2563
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)
อันดับเครดิตองค์กร: AAA
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable