ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB-? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการติดตั้งสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัย ตลอดจนการมีรายได้ประจำจำนวนมากจากค่าเช่าคลังสินค้าภายใต้สัญญาเช่าระยะยาว และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครือ อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของบริษัทยังมีข้อจำกัดจากปัจจัยหลายประการซึ่งรวมถึงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่ส่งผลกระทบที่ยืดเยื้อต่อสภาพเศรษฐกิจของไทยและค่าใช้จ่ายด้านโฆษณา
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ผลกระทบจาก โรคโควิด 19 กดดันให้ค่าใช้จ่ายสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยปรับตัวลดลง
จากรายงานของ บริษัท เดอะ นีลเส็น คอมปะนี (ประเทศไทย) จำกัด และข้อมูลการใช้จ่ายในธุรกิจสื่อออนไลน์ของสมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ Digital Advertising Association (Thailand) (DAAT) พบว่าในปี 2563 งบโฆษณารวมของสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยและสื่อโฆษณาบนระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทยลดลง 18.3% หรือคิดเป็น 1.1 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 งบดังกล่าวปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.2% มาอยู่ที่ระดับ 3.1 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากฐานการเติบโตในปี 2563 ที่อยู่ในระดับต่ำและงบโฆษณาจากตัวแทนบริษัทโฆษณาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ในปี 2563 รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทลดลง 22% มาอยู่ที่ระดับ 912 ล้านบาท ส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายลดลงมาอยู่ที่ระดับ 505 ล้านบาทจากระดับ 661-676 ล้านบาทในระหว่างปี 2561-2562 ในขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 55.4% จากระดับ 57.8%-61.9% ในระหว่างปี 2561-2562 ซึ่งสาเหตุหลักมาจากกำไรจากธุรกิจสื่อโฆษณาที่ลดลง
ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทลดลง 13% มาอยู่ที่ระดับ 151 ล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 64%-74% ในช่วงปี 2564-2566 ภายใต้สมมติฐานที่ภาวะเศรษฐกิจจะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นตามลำดับ
เป็นผู้ให้บริการติดตั้งสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยขนาดกลาง
ในระหว่างปี 2559-2563 บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับ 8%-12% เมื่อพิจารณาจากยอดขาย บริษัทเป็นผู้ให้บริการติดตั้งสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยรายใหญ่อันดับ 3 ในประเทศไทย แม้จะมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับที่ 3 แต่ส่วนแบ่งดังกล่าวของบริษัทก็ยังถือว่าค่อนข้างเล็กและห่างไกลจากส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับประมาณ 40% ในปี 2563 ของ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ค่อนข้างมาก ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดในปัจจุบันเอาไว้ได้ในปีถัด ๆ ไป
รายได้ประจำช่วยทำให้อัตรากำไรและกระแสเงินสดมีเสถียรภาพ
บริษัทมีรายได้ประจำจากพื้นที่ให้เช่าคลังสินค้าและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์อีกทั้งยังมีส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนถือหุ้นในสัดส่วน 39.6% ใน บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP) (ได้รับอันดับเครดิตองค์กรระดับ ?BBB-/Stable? จากทริสเรทติ้ง) ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรตลอดจนธุรกิจพลังงานด้วย
รายได้ประจำช่วยทำให้อัตรากำไรและกระแสเงินสดของบริษัทมีเสถียรภาพ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีกระแสเงินสดจากสัญญาเช่าระยะยาวในธุรกิจให้เช่าคลังสินค้าและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ทั้งสิ้นประมาณ 300 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2566 โดยรายได้ค่าเช่าคาดว่าจะเติบโตที่ระดับ 1%-5% ต่อปีตามอัตราการปรับค่าเช่าในสัญญา อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจคลังสินค้าน่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 94% ในระหว่างปี 2564-2566 และจากการที่บริษัทอีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ปมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวที่ค่อนข้างมั่นคงกับหน่วยงานสาธารณูปโภคภาครัฐหลายแห่งและผู้ซื้อไฟฟ้าเอกชนหลายราย ทริสเรทติ้งจึงประมาณการว่าบริษัทจะได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทอีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ปประมาณปีละ 100-200 ล้านบาทในระหว่างปี 2564-2566
ภาระหนี้อยู่ในระดับปานกลาง
ระดับภาระหนี้ของบริษัทถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 39.1% ในปี 2563 และ 41.2% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 จากเดิมที่ระดับ 36.4% ในปี 2562 ซึ่งเกิดจากหนี้สินจากสัญญาเช่าทางการเงินที่เพิ่มขึ้นในปี 2563 อันเนื่องมาจากสัญญาเช่าดำเนินงานที่บริษัทมีการนำมาตรฐานการรายงานทางการเงินของไทย (TFRS) ฉบับที่ 16 มาใช้ และค่าใช้จ่ายลงทุนที่เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าค่าใช้จ่ายลงทุนและเงินลงทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 767 ล้านบาทในปี 2564 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในโครงการสร้างป้ายจอ LED (Light-emitting Diode) ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่สำคัญ ๆ ของกรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายลงทุนและเงินลงทุนของบริษัทในระหว่างปี 2565-2566 ยังคาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 200-270 ล้านบาท ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 39%-41% ในระหว่างปี 2565-2566
ภาระหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นเงินกู้ยืมที่มีหลักประกันจากธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2564 อัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 50% ซึ่งบ่งบอกถึงความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญของการด้อยสิทธิ์ของภาระหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้? ของทริสเรทติ้ง
กระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ทริสเรทติ้งคาดว่าในช่วง 12 เดือนข้างหน้าบริษัทจะมีภาระหนี้ที่ครบกำหนดชำระจำนวน 775 ล้านบาท ในการนี้ บริษัทวางแผนจะชำระหนี้หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปี 2565 จำนวน 453 ล้านบาทด้วยเงินกู้ระยะยาวจากธนาคารพาณิชย์
ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 435 ล้านบาทในช่วงระยะเวลาเดียวกัน บริษัทมีสภาพคล่องที่ยอมรับได้ โดย ณ เดือนมีนาคม 2564 บริษัทมีเงินสดในมือจำนวน 23 ล้านบาทและมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 120 ล้านบาท ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 13.5%-22.6% ในช่วงปี 2564-2566 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าน่าจะอยู่ที่ระดับ 5-6 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? รายได้ของบริษัทจะลดลง 12% ในปี 2564 และจะเติบโตที่ระดับประมาณ 18%-46% ต่อปีในระหว่างปี 2565-2566
? อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะอยู่ที่ระดับประมาณ 64%-74% ต่อปี
? ค่าใช้จ่ายลงทุนรวมจะอยู่ที่ระดับ 767 ล้านบาทในปี 2564 และจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 200-270 ล้านบาทในช่วงปี 2565-2566
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดในธุรกิจสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยได้ต่อไปโดยมีสภาพคล่องที่เพียงพอและอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ในระดับประมาณ 40%
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับลดอันดับเครดิตสามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ความสามารถในการทำกำไรหรือผลการดำเนินงานของบริษัทถดถอยลงอย่างมีสาระสำคัญซึ่งอาจเกิดจากสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงอย่างยืดเยื้อยาวนาน นอกจากนี้ การลงทุนที่ใช้เงินกู้ยืมจำนวนมากที่อาจทำให้งบการเงินและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลงก็จะเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นได้ภายใต้สถานการณ์ที่กระแสเงินสดของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่บริษัทสามารถรักษาความแข็งแกร่งของงบดุลไว้ได้เป็นระยะเวลานาน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (AQUA)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable