ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “ธ. กรุงศรีอยุธยา” ที่ “AAA” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 8, 2021 18:09 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?AAA? และคงอันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาทซึ่งครบกำหนดชำระภายใน 3 ปีของธนาคารที่ระดับ ?AAA? พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? อันดับเครดิตดังกล่าวได้รับการยกระดับจากสถานะเครดิตเฉพาะของธนาคารซึ่งอยู่ที่ระดับ ?aa-? โดยสะท้อนถึงสถานะของธนาคารในการเป็นสมาชิกที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระดับสูงของ Mitsubishi UFJ Financial Group Inc. (MUFG Group) ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการสนับสนุนทางธุรกิจและการเงินที่ MUFG Group มีให้แก่ธนาคารมาโดยตลอด รวมถึงความช่วยเหลือที่คาดว่าจะได้รับจากกลุ่มธนาคารแม่ในกรณีที่ธนาคารประสบปัญหาทางการเงินอีกด้วย ทั้งนี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาเป็นธนาคารย่อยของ MUFG Bank Ltd. (MUFG Bank) ซึ่ง MUFG Bank (ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ ?A/Stable? จาก S&P Global Ratings) เป็นธนาคารย่อยที่ถือหุ้นทั้งหมดโดย MUFG Group และยังเป็นสมาชิกหลักของกลุ่มอีกด้วย

สถานะเครดิตเฉพาะของธนาคารกรุงศรีอยุธยาสะท้อนถึงพอร์ตสินเชื่อที่มีการกระจายตัวที่หลากหลายรวมทั้งการมีธุรกิจสินเชื่อในกลุ่มลูกค้ารายย่อยและกลุ่มลูกค้าธุรกิจชาวญี่ปุ่นที่มั่นคงมาก อย่างไรก็ตาม สถานะเครดิตเฉพาะของธนาคารก็มีข้อจำกัดจากการมีสถานะเงินกองทุนที่อยู่ในระดับปานกลางและการพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากลูกค้ารายใหญ่ที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่อื่น ๆ ในประเทศไทย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

เป็นธนาคารย่อยที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระดับสูงของ MUFG Group

ทริสเรทติ้งประเมินว่าธนาคารกรุงศรีอยุธยามีสถานะเป็นธนาคารย่อยที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระดับสูงของ MUFG Group โดยปัจจุบัน MUFG Group ถือหุ้นในสัดส่วน 76.88% ในธนาคารกรุงศรีอยุธยา ทั้งนี้ ธนาคารมีบทบาทสำคัญในการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นตลาดที่มีแนวโน้มในการทำกำไรในอัตราที่สูงกว่าและมีการเติบโตที่สูงอีกด้วย

ทริสเรทติ้งคาดว่าธนาคารกรุงศรีอยุธยาจะยังคงได้รับการสนับสนุนทั้งทางด้านการเงินและด้านธุรกิจจาก MUFG Group ต่อไป โดยในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ MUFG Group จะให้การสนับสนุนเป็นพิเศษแก่ธนาคารในเวลาที่ธนาคารมีปัญหาทางการเงิน ส่วนในแง่ของการสนับสนุนทางธุรกิจนั้น ธนาคารมีความร่วมมือที่สำคัญกับกลุ่มซึ่งประกอบไปด้วยการสนับสนุนการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ (Cross-border Business) การอ้างอิงลูกค้า (Client Referral) การให้สินเชื่อแก่ธุรกิจที่อยู่ในกลุ่มสายการผลิต (Supply-chain Financing) รวมไปถึงการดำเนินธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management Business)

ทริสเรทติ้งเชื่อว่า MUFG Group นั้นมีพันธสัญญาที่เหนียวแน่นในระยะยาวที่จะให้การสนับสนุนแก่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าความเชื่อมโยงที่ใกล้ชิดระหว่างธนาคารกับกลุ่มนั้นมีนัยสำคัญต่อชื่อเสียงของกลุ่ม ทั้งนี้ MUFG Group มีส่วนร่วมในการบริหารงานของธนาคารอย่างชัดเจนทั้งในระดับคณะกรรมการและผู้บริหาร โดยกรรมการที่ไม่เป็นอิสระของธนาคารกรุงศรีอยุธยาจำนวน 4 คนจากทั้งหมด 7 คนได้รับการแต่งตั้งจากกลุ่ม

ธุรกิจเป็นที่ยอมรับและพอร์ตสินเชื่อมีการกระจายตัวดี

ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่มีความมั่นคงเป็นปัจจัยที่ทริสเรทติ้งใช้ในการประเมินสถานะเครดิตเฉพาะของธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยธนาคารได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในธนาคารพาณิชย์จำนวน 6 รายที่มีความสำคัญในเชิงระบบ (Domestic Systematically Important Banks -- D-SIB) ของประเทศไทย ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 ธนาคารมีส่วนแบ่งทางการตลาดของสินเชื่อและเงินฝากที่ระดับ 13.6% และ 13.3% ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทั้งสิ้น 9 แห่งตามลำดับ ธนาคารมีความเชี่ยวชาญในกลุ่มลูกค้ารายย่อยโดยเห็นได้จากส่วนแบ่งทางการตลาดที่โดดเด่นในผลิตภัณฑ์กลุ่มลูกค้ารายย่อยที่สำคัญต่าง ๆ ธนาคารครองตำแหน่งผู้ประกอบการอันดับต้น ๆ อย่างต่อเนื่องในด้านสินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับ 28% 16% และ 29% ตามลำดับ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2564 นอกจากนี้ ธนาคารยังมีความได้เปรียบในการแข่งขันเหนือธนาคารอื่นในการดำเนินธุรกิจให้สินเชื่อแก่กลุ่มลูกค้าที่เป็นบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นจากการมีความร่วมมือที่ใกล้ชิดกับ MUFG Group อีกด้วย

ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าพอร์ตสินเชื่อที่มีความหลากหลายและกระจายตัวเป็นอย่างดีจะยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนสถานะเครดิตของธนาคารกรุงศรีอยุธยาต่อไปท่ามกลางความไม่แน่นอนสูงของภาวะเศรษฐกิจอันเกิดจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าธนาคารจะยังคงขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศต่อไปอีกในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยผ่านการเติบโตทั้งแบบจากภายใน (Organic) และจากภายนอก (Inorganic) ทั้งนี้ โครงสร้างรายได้ของธนาคารมีสัดส่วนที่มาจากการปล่อยสินเชื่อมากกว่าธนาคารพาณิชย์ไทยอื่น ๆ อยู่บ้างเล็กน้อยโดยมีสัดส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ระดับประมาณ 69.3% ของรายได้ทั้งหมด (ไม่รวมการรับรู้กำไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นบางส่วนใน บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน)) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิมีสัดส่วน 14.9% ของรายได้รวม ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับระดับ 20%

ธนาคารกรุงศรีอยุธยามีการขยายพอร์ตสินเชื่อในอัตราที่ช้าลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากผลกระทบของโรคโควิด 19 โดยทริสเรทติ้งเชื่อว่าความพยายามของธนาคารในการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ผ่านกลยุทธ์การเติบโตแบบอนุรักษ์นิยมน่าจะช่วยสนับสนุนความมั่นคงของธุรกิจและกำไรของธนาคารในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า

สถานะเงินกองทุนยังคงอยู่ในระดับที่เพียงพอ

ทริสเรทติ้งประเมินสถานะเงินกองทุนของธนาคารกรุงศรีอยุธยาให้อยู่ในระดับที่เพียงพอ โดยธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (CET-1) อยู่ที่ระดับ 12.76% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทยที่ระดับ 15.6% เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวอยู่ในระดับสูงกว่าเกณฑ์ข้อบังคับขั้นต่ำที่ระดับ 8% ซึ่งรวมถึงเงินกองทุนส่วนเพิ่มสำหรับสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบในประเทศ (D-SIB) ที่ระดับ 1% และเงินกองทุนส่วนเพิ่มเพื่อรองรับผลขาดทุนในภาวะวิกฤติที่ระดับ 2.5% ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าธนาคารจะคงอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของให้อยู่ในช่วง 13%-15% เอาไว้ได้ในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้าโดยอยู่บนพื้นฐานของการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าสินเชื่อของธนาคารจะเติบโตที่ระดับประมาณ 2% ในปี 2564 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเป็นระดับประมาณ 3% และ 5% ในปีถัด ๆ ไป โดยในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารจะยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันในช่วง 3%-3.2% ต่อไปอีกในระยะ 2 ปีข้างหน้าในขณะที่ต้นทุนทางเครดิตจะค่อยๆ กลับคืนสู่ระดับก่อนเกิดโรคโควิด 19 นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคำนึงถึงอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ระดับประมาณ 10% ของธนาคารในอีก 2 ปีข้างหน้าด้วยเช่นกัน โดยทริสเรทติ้งมองว่าการขยายสินเชื่อในระดับปานกลางและมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดของธนาคารน่าจะช่วยรักษาระดับเงินกองทุนของธนาคารให้อยู่ในระดับที่เพียงพอในช่วงเวลา 2 ปีข้างหน้าได้

ความสามารถในการทำกำไรจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของธนาคารกรุงศรีอยุธยาในปี 2563 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0.94% จากระดับ 1.19% (ไม่รวมการรับรู้กำไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นใน บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) และการตั้งสำรองผลประโยชน์พนักงานจากกฎหมายแรงงานใหม่) ในปี 2562 ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 0.92% ในปีเดียวกันซึ่งมีสาเหตุมาจากต้นทุนทางเครดิตที่สูงขึ้นเพื่อรองรับการขาดทุนจากสินเชื่อที่อาจเกิดขึ้นจากการอ่อนแอของเศรษฐกิจที่เกิดจากโรคโควิด 19 เป็นสำคัญ แม้ว่าคุณภาพสินทรัพย์จะปรับตัวแย่ลงในระยะหลัง แต่ความสามารถในการทำกำไรของธนาคารก็ยังคงอยู่ในเกณฑ์ดีเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งภายในประเทศ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยที่ปรับเป็นตัวเลขเต็มปีสำหรับ 6 เดือนแรกของปี 2564 ของธนาคารอยู่ที่ระดับ 0.98% (ไม่รวมกำไรจากการขายหุ้นบางส่วนในบริษัทเงินติดล้อในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564) โดยลดลงเล็กน้อยจากระดับ 1.12% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563

ทริสเรทติ้งมองว่าความสามารถในการทำกำไรของธนาคารกรุงศรีอยุธยามีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วง 2 ปีข้างหน้าโดยจะได้รับแรงหนุนหลักจากต้นทุนทางเครดิตที่ลดลง ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานของธนาคารในระหว่างปี 2564-2566 จะค่อย ๆ ฟื้นตัวโดยจะมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยอยู่ในช่วง 0.9%-1.2% โดยอยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ที่สินเชื่อจะเติบโตในระดับปานกลางในช่วง 3 ปีข้างหน้าและต้นทุนทางเครดิตจะอยู่ในช่วง 1.6%-1.8% ทริสเรทติ้งคาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารจะทรงตัวอยู่ในระดับค่อนข้างคงที่ในช่วง 3%-3.2% และต้นทุนทางการเงินจะถึงจุดต่ำสุดในปี 2564

คุณภาพสินทรัพย์อยู่ภายใต้แรงกดดัน

คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารกรุงศรีอยุธยายังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากการระบาดของโรคโควิด 19 ที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับคู่แข่งในกลุ่มธนาคาร มาตรการปิดเมือง (Lockdown) บางส่วนเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าของธนาคารในวงกว้าง ในขณะที่ความล่าช้าในการกลับคืนสู่สภาวะปกติยังคงเป็นอุปสรรคต่อคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ

ความสามารถในการเติบโตของธนาคารกรุงศรีอยุธยาน่าจะอยู่ในระดับปานกลางในช่วงระหว่างปี 2564-2565 เนื่องจากสถานการณ์การติดเชื้อโรคโควิด 19 ที่ยังคงสูงและการเร่งระดมฉีดวัคซีนที่เพิ่งเริ่มต้น ซึ่งทริสเรทติ้งมองว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกดดันต่อแนวโน้มการเติบโตในระยะสั้นของธนาคาร ทริสเรทติ้งคาดว่าการเติบโตของสินเชื่อของธนาคารกรุงศรีอยุธยาจะยังคงมีไม่มากโดยอยู่ในช่วงตัวเลขหลักเดียวแบบต่ำ ๆ ในระยะ 3 ปีข้างหน้าซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการสินเชื่อที่ลดลงและการอนุมัติสินเชื่อที่เป็นไปอย่างระมัดระวังท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจในประเทศไทยที่ยังคงดำเนินต่อไป ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าการเติบโตของสินเชื่อของธนาคารจะมีปัจจัยผลักดันจากกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพสูงเป็นหลักเนื่องจากธนาคารมีมาตรฐานการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มลูกค้าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises - SMEs) และกลุ่มลูกค้ารายย่อย

ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าคุณภาพสินทรัพย์โดยรวมของธนาคารกรุงศรีอยุธยายังคงอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้เนื่องจากธนาคารมีความเสี่ยงจากกลุ่มที่มีความอ่อนไหวที่อยู่ในระดับจำกัด กล่าวคือ ธนาคารยังคงรักษาอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยค่าดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 2.63% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทยที่ระดับ 3.67% ในช่วงเวลาเดียวกันอันเป็นผลเนื่องมาจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ การตัดหนี้สูญที่ต่อเนื่อง และระดับการตั้งสำรองที่ดี อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารจะค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.8%-3.2% ในช่วง 2 ปีข้างหน้าหลังจากสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยายังได้ตั้งสำรองไว้เป็นจำนวนมากในปี 2563 เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เงินสำรองเพื่อรองรับการสูญเสียเครดิตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย โดยอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารอยู่ที่ระดับ 175.8% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทยที่ระดับ 162% อยู่เล็กน้อย ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าต้นทุนทางเครดิตของธนาคารจะค่อย ๆ ลดลงสู่ระดับก่อนเกิดโรคโควิด 19

มีสถานะเงินทุนอยู่ในระดับปานกลาง

ทริสเรทติ้งคาดว่าธนาคารกรุงศรีอยุธยาจะรักษาสถานะเงินทุนให้อยู่ในระดับค่าเฉลี่ยและมีการกระจายตัวที่ดีได้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ธนาคารประสบกับเหตุการณ์เงินฝากไหลเข้าจำนวนมากในช่วงเวลาของความไม่แน่นอนที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เช่นเดียวกับธนาคารอื่น ๆ โดยเงินฝากจากลูกค้าของธนาคารเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 17.1% ในปี 2563 และชะลอตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 3.1% จากช่วงต้นปีจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ เนื่องจากการหดตัวของสินเชื่อของธนาคารอยู่ที่ระดับ -0.7% จากช่วงต้นปีจนถึงปัจจุบันและการเติบโตของเงินฝากอยู่ที่ระดับ 3.1% จากช่วงต้นปีจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากรวมของธนาคารจึงลดลงอย่างมีนัยสำคัญโดยมาอยู่ที่ระดับ 96.3% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 จากระดับ 116% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562

เงินฝากของธนาคารกรุงศรีอยุธยาคิดเป็น 83.4% ของแหล่งเงินทุนทั้งหมดของธนาคาร ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในบรรดาธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ในประเทศไทย การพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากลูกค้ารายใหญ่ที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูงกว่าค่าเฉลี่ยเป็นผลมาจากการที่ธนาคารมีการกู้ยืมเงินจากธนาคารแม่ บัญชีเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์ (Current Account-Savings Account ? CASA) ของธนาคาร เติบโตขึ้นอย่างมากมาตั้งแต่ต้นปี 2563 อัตราส่วนบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคารเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 57.7% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 จากระดับ 49.5% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 แม้ว่ายังคงต่ำกว่าตัวเลขของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่รายอื่น แต่ทริสเรทติ้งก็มีมุมมองว่าระดับดังกล่าวมีความเหมาะสมกับพอร์ตสินเชื่อของธนาคารซึ่งมีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ดอกเบี้ยคงที่ที่สูงกว่าคู่แข่ง ต้นทุนทางการเงินของธนาคารกรุงศรีอยุธยาลดลงเหลือ 1.02% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 เมื่อเทียบกับระดับ 1.39% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยและฐานเงินฝากประจำที่ลดต่ำลง อย่างไรก็ตาม ต้นทุนทางการเงินโดยรวมยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ที่ระดับ 0.79% ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการมีสัดส่วนของแหล่งเงินทุนจากลูกค้ารายใหญ่และเงินฝากที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สูงขึ้น

มีสภาพคล่องที่เพียงพอ

ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องเฉพาะในส่วนของธนาคารกรุงศรีอยุธยานั้นอยู่ในระดับที่เพียงพอและใกล้เคียงกับธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดกลางรายอื่น ๆ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาประสบกับเหตุการณ์เงินฝากไหลเข้าในปี 2563 เช่นเดียวกับธนาคารไทยรายใหญ่อื่น ๆ โดยสัดส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องสำหรับใช้รองรับสถานการณ์ด้านสภาพคล่องที่มีความรุนแรง (Liquidity Coverage Ratio -- LCR) ของธนาคารอยู่ที่ระดับ 148% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 ซึ่งสูงกว่าข้อกำหนดด้านกฎระเบียบที่ระดับ 100% อัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องต่อเงินฝากของธนาคารอยู่ที่ระดับที่น่าพอใจที่ 36.8% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมองว่าแหล่งเงินกู้และความช่วยเหลือที่ธนาคารได้รับจาก MUFG Group นั้นถือเป็นปัจจัยเสริมด้านสภาพคล่องที่แข็งแกร่งของธนาคารอีกด้วย

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน (สำหรับปี 2564-2566)

? อัตราการเติบโตของสินเชื่อจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2%-5%

? ต้นทุนทางเครดิตจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.6%-1.8%

? อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อรวมจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2.8%-3.4%

? อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของจะอยู่ที่ระดับ 13%-15%

? ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิหลังจากหักต้นทุนทางเครดิตจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.7%-2%

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าธนาคารกรุงศรีอยุธยาจะยังคงสถานภาพในการเป็นธนาคารลูกที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระดับสูงของ MUFG Group และจะยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากธนาคารแม่ต่อไป

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงได้ในกรณีที่สถานะเครดิตของ MUFG Group มีการเปลี่ยนแปลง หรือในกรณีที่ทริสเรทติ้งพิจารณาเห็นว่าระดับความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของธนาคารที่มีต่อกลุ่มนั้นเปลี่ยนแปลงไป โดยที่สถานะเครดิตเฉพาะของธนาคารอาจได้รับการปรับลดลงหากอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของของธนาคารลดลงต่ำกว่าระดับ 11.8%

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564

- Banks Rating Methodology, 3 มีนาคม 2563

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY)

อันดับเครดิตองค์กร: AAA

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 3 ปี

AY223A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,900 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 AAA

AY233A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,100 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 AAA

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ