ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงตำแหน่งทางการตลาดที่ยาวนานในธุรกิจค้าถ่านหินในประเทศไทยของบริษัท ตลอดจนความได้เปรียบในการแข่งขันจากการมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในธุรกิจค้าถ่านหินและความสามารถในการบริหารจัดการงานด้านโลจิสติกส์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม ความเข้มแข็งด้านเครดิตดังกล่าวก็มีปัจจัยลดทอนจากอัตราผลกำไรที่บางและผันผวน รวมถึงธุรกิจที่มีขนาดเล็ก และการกระจายความเสี่ยงที่มีขอบเขตจำกัดของบริษัท
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีสถานะธุรกิจที่ยาวนานในธุรกิจค้าถ่านหิน
บริษัทเป็นผู้ค้าถ่านหินขนาดกลางในประเทศไทยโดยบริษัทนำเข้าถ่านหินจากประเทศอินโดนีเซีย รัสเซีย และออสเตรเลียเพื่อมาจำหน่ายในประเทศไทยเป็นหลัก บริษัทอยู่ในธุรกิจซื้อขายถ่านหินมานานกว่า 17 ปีและประสบความสำเร็จในการสร้างฐานลูกค้าที่มั่นคงในหลายอุตสาหกรรม
ทริสเรทติ้งพิจารณาว่าตำแหน่งทางการตลาดของบริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยบริษัทมียอดขายถ่านหินในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 3.76 ล้านตันในปี 2563 จาก 1.87 ล้านตันในปี 2559 ส่งผลให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทซึ่งเปรียบเทียบจากยอดขายในประเทศไทยของบริษัทต่อยอดนำเข้าถ่านหินทั้งหมดในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 15.8% ในปี 2563 จากระดับ 8.6% ในปี 2559 ซึ่งเป็นผลมาจากฐานลูกค้าที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นและจำนวนผู้ค้าถ่านหินรายใหญ่ในประเทศไทยที่ลดลง
บริษัทมีรายได้อยู่ที่จำนวนประมาณ 7.9 พันล้านบาทในปี 2563 โดยมียอดขายถ่านหินรวมที่จำนวน 4.4 ล้านตันซึ่งจำแนกออกเป็นยอดขายภายในประเทศที่จำนวน 3.76 ล้านตันและอีกจำนวน 0.65 ล้านตันเป็นยอดขายในประเทศใกล้เคียง เช่น เวียดนาม กัมพูชา เมียนมา จีน และไต้หวัน
มีความได้เปรียบจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลากหลายและอยู่ติดกับแม่น้ำและใกล้แหล่งลูกค้า
สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่ใช้ในธุรกิจค้าถ่านหินของบริษัทนั้นมีบทบาทที่สำคัญในการเสริมความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัท ทั้งนี้ สินทรัพย์ที่สำคัญของบริษัท ประกอบด้วยคลังสินค้าขนาดใหญ่ซึ่งสามารถจัดเก็บถ่านหินได้ 1 ล้านตัน ตลอดจนท่าเรือสำหรับลำเลียงถ่านหินของบริษัทเองจำนวน 3 แห่ง รวมถึงรถบรรทุกและเรือเล็กที่ใช้บรรทุกถ่านหินอีกจำนวนหนึ่ง ทริสเรทติ้งมองว่าทรัพย์สินเหล่านี้ช่วยให้บริษัทสามารถรองรับคำสั่งซื้อที่มีปริมาณมากและสามารถจัดส่งสินค้าได้ตามความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้ บริษัทยังมีโรงงานคัดแยกถ่านหินซึ่งช่วยให้บริษัทตอบสนองความต้องการที่หลากหลายในตลาดลูกค้ารายย่อยได้อีกด้วย เนื่องจากลูกค้าแต่ละรายในกลุ่มนี้มักมีความต้องการถ่านหินที่มีขนาดแตกต่างกันไปตามประเภทของเครื่องจักร
ทริสเรทติ้งมองว่าทำเลที่ตั้งของท่าเรือและคลังสินค้าเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อกิจกรรมการค้าถ่านหินของบริษัท ทั้งนี้ ลานเก็บถ่านหิน ตลอดจนโรงคัดแยกถ่านหิน และท่าเรือของบริษัทนั้นตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำป่าสักในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งทำให้บริษัทสามารถนำเข้าและส่งออกถ่านหินผ่านการขนส่งทางเรือซึ่งถือเป็นช่องทางที่มีค่าขนส่งถูกที่สุดได้ นอกจากนี้ จังหวัดพระนครศรีอยุธยายังอยู่ใกล้กับจังหวัดสระบุรีซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตปูนซีเมนต์ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการใช้ถ่านหินมากที่สุดด้วยเช่นกัน
มีความสามารถในการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์
ทริสเรทติ้งมองว่าประสบการณ์ในการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ของบริษัทเป็นปัจจัยด้านบวกที่ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบด้านต้นทุนเหนือผู้ค้าถ่านหินรายอื่น ๆ ในประเทศ ทั้งนี้ ต้นทุนด้านโลจิสติกส์หรือการขนส่งนั้นค่อนข้างสูงโดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15%-20% ของต้นทุนทั้งหมด บริษัทมีทีมบุคลากรที่มีประสบการณ์ในด้านการเช่าเรือและการขนส่งซึ่งทำหน้าที่ดูแลห่วงโซ่อุปทานตลอดทุกขั้นตอน ตั้งแต่การขนส่งถ่านหินด้วยเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองจากเหมืองถ่านหินในต่างประเทศไปยังเกาะสีชัง การขนส่งด้วยเรือเล็กจากเกาะสีชังไปยังท่าเรือในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และการขนส่งทางบกไปยังโรงงานของลูกค้า เป็นต้น
ปัจจุบันบริษัทกำลังพัฒนาขีดความสามารถด้านโลจิสติกส์เพื่อที่จะลดการพึ่งพาผู้ให้บริการขนส่งและควบคุมต้นทุนด้านการขนส่ง โดยบริษัทได้เริ่มจัดซื้อรถบรรทุกและเรือขนส่งสินค้าเป็นของตัวเองตั้งแต่ปี 2560 โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 บริษัทเป็นเจ้าของรถบรรทุก 68 คันและเรือขนส่งสินค้า 36 ลำ ซึ่งทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทยังมีโอกาสในการเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจอีกมากเนื่องจากจำนวนพาหนะในการขนส่งสินค้าของบริษัทในปัจจุบันยังถือว่าห่างไกลจากความต้องการใช้รถบรรทุกของบริษัทที่จำนวน 400-500 คันต่อวันอยู่มาก
ผลกำไรที่บางและผันผวนจากการเปลี่ยนแปลงของราคาถ่านหิน
สถานะเครดิตของบริษัทมีปัจจัยลดทอนจากการมีผลกำไรที่บางและผันผวนซึ่งเป็นผลมาจากความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาถ่านหิน ทั้งนี้ ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับราคาถ่านหินในตลาดโลก โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทแกว่งตัวอยู่ในช่วง 4.8%-13% ความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาถ่านหินมีโอกาสที่จะทำให้บริษัทเกิดการขาดทุนจากสินค้าคงคลังและมีผลกำไรที่ลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อราคาถ่านหินตกต่ำลงได้ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งก็มองว่าผลกระทบจากความเสี่ยงด้านราคาน่าจะลดทอนลงบางส่วนจากการที่บริษัทมีสัญญาซื้อขายแบบ Back-to-Back กับลูกค้ารายใหญ่ โดยรายได้จากคำสั่งซื้อลักษณะนี้มีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 40%-50% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ธุรกิจมีขนาดเล็กและมีการกระจายตัวที่จำกัด
ขนาดของธุรกิจของบริษัทนั้นค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมค้าถ่านหินหรือค้าสินค้าโภคภัณฑ์ โดยกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ในช่วง 270-480 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ สถานะทางธุรกิจของบริษัทยังมีข้อจำกัดจากความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของลูกค้าและความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ที่มีจำกัดอีกด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากรายได้ประมาณ 40%-50% ของบริษัทนั้นมาจากอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในประเทศไทยในขณะที่ลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของบริษัทมีสัดส่วนคิดเป็น 25%-30% ของรายได้ทั้งหมด
ทริสเรทติ้งเชื่อว่าศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจค้าถ่านหินในประเทศไทยของบริษัทนั้นยังค่อนข้างจำกัดในระยะยาว โดยทริสเรทติ้งมองว่าแนวโน้มของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่มีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้นและทิศทางของอุตสาหกรรมพลังงานที่เปลี่ยนไปสู่พลังงานที่สะอาดมากขึ้นถือว่าจะเป็นความเสี่ยงที่สำคัญต่อธุรกิจของบริษัท
ความพยายามในการขยายธุรกิจสู่การให้บริการด้านโลจิสติกส์
ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจให้บริการด้านโลจิสติกส์ของบริษัทมีแนวโน้มที่จะเติบโตยิ่งขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเมื่อพิจารณาจากแผนการขยายคลังสินค้าและจำนวนพาหนะในการขนส่งที่เป็นไปอย่างรวดเร็วของบริษัท นอกเหนือจากธุรกิจค้าถ่านหินแล้ว บริษัทยังใช้สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่ในการให้บริการขนส่งสินค้าอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ถ่านหินอีกด้วย ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจโลจิสติกส์ของบริษัทมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น บริษัทจึงได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมา 1 แห่งร่วมกับ บริษัท สุวรรณเกลียวทอง จำกัด เพื่อทำสัญญาเช่าท่าเรือจำนวน 3 แห่งและคลังสินค้าอีก 5 แห่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นอกจากนี้ บริษัทยังได้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนรถบรรทุกของตนเองให้ถึงประมาณ 100 คันภายในปี 2564 นี้อีกด้วย
ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าบริษัทอาจจะยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควรในการที่จะสร้างธุรกิจโลจิสติกส์ให้สามารถสร้างกำไรที่มีนัยสำคัญแก่กลุ่มได้ ความสำเร็จในธุรกิจใหม่นี้จะส่งผลดีต่อสถานะเครดิตของบริษัทเนื่องจากอัตรากำไรของบริการด้านโลจิสติกส์นั้นสูงกว่าและมีเสถียรภาพมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการค้าถ่านหิน
สถานะทางการเงินที่คาดว่าจะอยู่ในระดับที่ดี
ผลการดำเนินงานของบริษัทในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าน่าจะยังคงขึ้นอยู่กับกิจกรรมการซื้อขายถ่านหินเป็นหลัก โดยยอดขายถ่านหินของบริษัทน่าจะเติบโตต่อไปได้โดยทริสเรทติ้งมีสมมติฐานว่าบริษัทจะยังสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากผู้ค้าถ่านหินรายย่อย ๆ มาได้ ในขณะที่อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ยังคงแข็งแรงแม้จะได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ก็ตาม นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์จากราคาถ่านหินที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงเร็ว ๆ นี้ แต่ก็อาจจะถูกชดเชยด้วยความเสี่ยงที่ราคาถ่านหินจะปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วได้ด้วยเช่นกัน
ทริสเรทติ้งคาดว่าสัดส่วนกระแสเงินสดต่อภาระหนี้สินของบริษัทจะอ่อนแอลงในปี 2564 ก่อนที่จะปรับตัวดีขึ้น ในการนี้ บริษัทคาดว่าจะใช้งบลงทุนรวมที่จำนวนประมาณ 550 ล้านบาทในระหว่างปี 2564-2566 เพื่อใช้ในการจัดซื้อรถบรรทุกใหม่ รวมถึงการซื้อสิทธิ์ในการเช่าท่าเรือและคลังสินค้าเป็นหลัก ทั้งนี้ บริษัทมีแนวโน้มที่จะมีการกู้เงินเพิ่มเติมเพื่อรองรับความต้องการเงินทุนหมุนเวียนเนื่องจากราคาถ่านหินปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ ทริสเรทติ้งจึงคาดการณ์ว่าภาระหนี้สินคงค้างของบริษัท น่าจะเพิ่มขึ้นอีกแต่กระแสเงินสดและผลกำไรก็น่าจะเติบโตและช่วยรักษาสถานะทางการเงินของบริษัทไม่ให้อ่อนแอลงไปกว่านี้ได้
ทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 600 ล้านบาทต่อปีในระยะ 3 ปีข้างหน้าจากระดับ 500 ล้านบาทในปัจจุบัน อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 6 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินสุทธิน่าจะยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 12% ในช่วงปี 2564-2566
มีสภาพคล่องที่เพียงพอ
ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทจะยังคงมีเพียงพอในช่วงเวลา 12 เดือนข้างหน้าเนื่องจากแหล่งเงินทุนของบริษัทยังคงมีเพียงพอสำหรับการแผนการใช้เงินทุน ทั้งนี้ แหล่งที่มาของเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่จำนวน 550 ล้านบาทและเงินสดในมือจำนวน 176 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 ในขณะเดียวกัน บริษัทยังมีวงเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 1.5 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือน มิถุนายน 2564 ในขณะที่แผนการใช้เงินทุนประกอบด้วยการชำระคืนเงินกู้รวมประมาณ 135 ล้านบาท การลงทุนตามแผนประมาณ 320 ล้านบาท และประมาณการสำหรับจ่ายเงินปันผลอีก 125 ล้านบาท
โครงสร้างเงินทุน
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 หนี้สินคงค้างของบริษัทซึ่งไม่รวมสัญญาเช่าทางการเงินมีจำนวน 3.88 พันล้านบาทโดยภาระหนี้ทั้งหมดเป็นหนี้ที่มีหลักประกัน ดังนั้น อัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้เงินกู้รวมของบริษัทจึงอยู่ที่ระดับประมาณ 100% เนื่องจากอัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้เงินกู้ทั้งหมดของบริษัทมีมากกว่า 50% ตามเกณฑ์การจัดอันดับเครดิต ทริสเรทติ้งจึงมองว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทมีความเสียเปรียบอย่างมีนัยสำคัญในเรื่องของลำดับของสิทธิในการเรียกร้องจากสินทรัพย์ของบริษัท
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
ทริสเรทติ้งมีสมมติฐานเกี่ยวกับการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปี 2564-2566 ดังนี้
? ยอดขายรวมจะเพิ่มขึ้นที่ระดับ 30% ในปี 2564 และที่ระดับ 3%-5% ต่อปีหลังจากนั้น
? รายได้จะอยู่ในช่วง 9.5-10 พันล้านบาทต่อปี
? อัตราส่วนกำไรกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ในช่วง 6%-7%
? ยอดใช้จ่ายรวมจะอยู่ที่จำนวน 350 ล้านบาทในปี 2564 และจำนวน 100 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2566
? อัตราการจ่ายเงินปันผลจะอยู่ที่ระดับ 50%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าสถานะทางการตลาดและความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนของบริษัทจะยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่กระแสเงินสดและอัตราส่วนทางการเงินของบริษัทน่าจะสอดคล้องกับการคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทอาจเกิดขึ้นได้หากขนาดธุรกิจและกระแสเงินสดของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมากจากระดับในปัจจุบันซึ่งอาจเกิดจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและ/หรือจากความสำเร็จของธุรกิจใหม่คือธุรกิจโลจิสติกส์
ในทางตรงกันข้าม โอกาสในการปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดจากการที่สถานะทางการเงินของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจเกิดจากการลงทุนที่ใช้หนี้เงินกู้จำนวนมากซึ่งทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายสูงเกินกว่า 7-8 เท่าและ/หรืออัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินสุทธิต่ำกว่าระดับ 10% เป็นระยะเวลานาน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) (AGE)
อันดับเครดิตองค์กร: BB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable