ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น” ที่ “A-” หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ที่ “BBB” และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 27, 2021 14:59 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A-? พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของบริษัทที่ระดับ ?BBB? ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิตยังคงเป็น ?Stable? หรือ ?คงที่?

ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ของบริษัทในวงเงินไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาทที่ระดับ ?A-? ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้เดิมที่มีอยู่และใช้สำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันที่เป็นผลมาจากความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน ตลอดจนการมีบูรณาการระหว่างธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและธุรกิจการตลาดของบริษัท รวมถึงสถานะทางการตลาดที่มั่นคงในธุรกิจการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง (Fuel Marketing Business) และประโยชน์ที่ได้จากการลงทุนในธุรกิจที่หลากหลาย แต่ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนลงบางส่วนจากการที่บริษัทมีค่าการกลั่น (Gross Refinery Margin ? GRM) ที่ยังอยู่ในระดับต่ำรวมถึงมีความอ่อนไหวต่อราคาน้ำมันที่มีความผันผวน นอกจากนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวยังสะท้อนถึงการลงทุนของบริษัทที่อยู่ในระดับสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจผลิตไฟฟ้าซึ่งจะทำให้บริษัทมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าอีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ผลการดำเนินงานฟื้นตัวอย่างเข้มแข็ง

ผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทฟื้นตัวอย่างรวดเร็วอันเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นสูงมาก ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มฟื้นตัวกลับมาหลังจากได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) โดยหลาย ๆ ประเทศได้มีการผ่อนปรนมาตรการปิดเมือง (Lockdown) รวมไปถึงดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ โดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่ฟื้นตัวในเวลาพร้อม ๆ กันเมื่อผนวกกับความก้าวหน้าในการฉีดวัคซีนให้แก่ประชากรทั่วโลกนั้นได้ส่งผลทำให้อุปสงค์ในการใช้น้ำมันกลับมาฟื้นตัวอย่างเข้มแข็ง

แต่ในทางกลับกัน ตลาดต้องเผชิญกับอุปทานน้ำมันที่ขาดแคลนเนื่องจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันหรือโอเปก (Organization of the Petroleum Exporting Countries --- OPEC) ยังคงจำกัดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบอยู่ในขณะที่การลงทุนในการผลิตปิโตรเลียมที่ผ่านมาก็ยังอยู่ในระดับต่ำ จึงส่งผลทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 56% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 63.6 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในช่วงครึ่งแรกของปี 2564

ผลการดำเนินงานทางการเงินโดยรวมของบริษัทฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 โดยบริษัทมีกำไรจากสต็อกน้ำมันประมาณ 3.8 พันล้านบาทในช่วงดังกล่าวซึ่งตรงกันข้ามกับสถานการณ์ขาดทุนอย่างหนักในปีก่อนหน้า ส่งผลให้บริษัทกลับมามีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ 8.6 พันล้านบาท

ค่าการกลั่นยังคงเปราะบาง

แม้ว่าราคาน้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ค่าการกลั่นของบริษัทยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 3.9 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 โดยฟื้นตัวขึ้นเพียงเล็กน้อยจากจุดต่ำสุดที่ 2.3 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากปริมาณการใช้น้ำมันอากาศยานที่ลดต่ำลงอย่างมาก โรงกลั่นหลาย ๆ แห่งจึงได้ปรับตัวโดยการลดการผลิตน้ำมันอากาศยานลงและหันไปผลิตน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นจนส่งผลทำให้ส่วนต่างของราคาน้ำมันอากาศยานและน้ำมันดีเซลเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบแล้วยังคงอยู่ในระดับต่ำ

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทริสเรทติ้งมองว่าค่าการกลั่นพื้นฐานของบริษัทจะค่อย ๆ ฟื้นตัวดีขึ้น ในขณะที่ส่วนต่างของราคาน้ำมันสำเร็จรูปในทุกผลิตภัณฑ์นั้นมีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 1-2 ปีจึงจะกลับมาอยู่ในระดับก่อนการระบาดของโรคโควิด 19 ในการนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าราคาน้ำมันเชื้อเพลิงน่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อไปในระยะใกล้เนื่องจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในขณะที่อุปทานนั้นยังมีจำกัด อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่แน่นอนที่อาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์น้ำมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่ยังยืดเยื้อของโรคโควิด 19

ความยืดหยุ่นของโรงกลั่นช่วยเพิ่มค่าการกลั่น

ความยืดหยุ่นของโรงกลั่นน้ำมันช่วยให้บริษัทสามารถนำน้ำมันดิบหลากหลายประเภทมากลั่นเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์น้ำมันชนิดต่าง ๆ และเพื่อลดปัญหา อุปสงค์น้ำมันอากาศยานที่ลดต่ำลง บริษัทยังสามารถที่จะปรับปรุงการผลิตให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ให้กำไรสูงขึ้นได้ เช่น Unconverted Oil (UCO) และสารทำละลาย (White Spirit) เพื่อเพิ่มค่าการกลั่นพื้นฐานของบริษัทให้สูงขึ้น ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ส่วนต่างของราคา UCO เมื่อเทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ประมาณ 6-8 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในขณะที่ส่วนต่างของราคาน้ำมันอากาศยานอยู่ที่ 3-4 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

บริษัทได้เชื่อมต่อหน่วยเพิ่มค่าออกเทนของน้ำมันเบนซิน (Continuous Catalyst Regeneration Unit) ชุดใหม่เข้ากับโรงกลั่นน้ำมันและดำเนินการขยายกำลังการผลิตของหน่วยแตกโมเลกุล (Hydrocracking Unit) จนแล้วเสร็จ ซึ่งการปรับปรุงประสิทธิภาพในครั้งนี้จะช่วยยืดอายุรอบการซ่อมบำรุงโรงกลั่นตามวาระรวมถึงช่วยให้บริษัทสามารถใช้กำลังการกลั่นน้ำมันดิบได้มากขึ้น โดยบริษัทวางแผนจะเพิ่มปริมาณการกลั่นน้ำมันดิบให้เป็นประมาณ 1.2 แสนบาร์เรลต่อวันจากปัจจุบันที่ 1.1 แสนบาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้ ในช่วงปี 2565-2566 บริษัทมีแผนจะลดสัดส่วนน้ำมันอากาศยานลงให้เหลือประมาณ 8% ของกำลังการผลิตรวมจากประมาณ 13% ในช่วงก่อนปี 2563 ในขณะเดียวกัน บริษัทก็จะเพิ่มสัดส่วนการผลิต UCO ให้เป็น 13% จากประมาณ 3%-5% ในช่วงปีก่อน ๆ ซึ่งจากแผนการปรับสัดส่วนผลิตภัณฑ์ดังกล่าว บริษัทคาดว่าจะมีค่าการกลั่นพื้นฐานที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวมาอยู่ที่ประมาณ 4-5 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2565 และประมาณ 5-6 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2566

การค้าปลีกน้ำมันจะฟื้นตัว

การแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อของโรคโควิด 19 ส่งผลทำให้ธุรกิจการตลาดของบริษัทมียอดขายน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยอยู่ที่ 2,422 ล้านลิตรในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 อย่างไรก็ตาม ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงก็มีสัญญาณของแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยยอดขายน้ำมันเชื้อเพลิงผ่านสถานีบริการน้ำมันของบริษัทเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอยู่ที่ 2,049 ล้านลิตรในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 บริษัทยังคงเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยมีเครื่องหมายการค้าซึ่งเป็นที่จดจำเป็นปัจจัยสนับสนุนรวมถึงการมีสินค้านอกเหนือจากน้ำมันเชื้อเพลิงและบริการในสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศด้วย บริษัทมีแผนจะเพิ่มจำนวนสถานีบริการน้ำมันให้เป็นประมาณ 1,600 แห่งภายในปี 2568 ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมียอดขายน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นและช่วยรองรับกำลังการผลิตน้ำมันเบนซินและดีเซลของโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กำไรโดยรวม

จากการผ่อนปรนมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐและการกลับคืนมาของกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายน้ำมันเชื้อเพลิงจากธุรกิจการตลาดของบริษัทน่าจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในระหว่างปี 2565-2566 และเห็นว่าธุรกิจการตลาดของบริษัทจะยังคงเป็นแหล่งสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอนเนื่องจากค่าการตลาดมีความผันผวนน้อยกว่าค่าการกลั่น

ธุรกิจผลิตไฟฟ้ามีการขยายการลงทุนอย่างมาก

สำหรับธุรกิจผลิตไฟฟ้านั้น บริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินงานในโรงไฟฟ้าหลายประเภทโดยผ่านบริษัทย่อยคือ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ปัจจุบัน บริษัท บีซีพีจี มีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินงานแล้วด้วยกำลังการผลิตรวม 475 เมกะวัตต์ซึ่งคิดตามสัดส่วนการลงทุน ทริสเรทติ้งประมาณการว่า บริษัท บีซีพีจี จะใช้เงินลงทุนที่ประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาทในช่วงระหว่าง

ปี 2564-2566 โดยจะครอบคลุมทั้งในส่วนของการซ่อมบำรุง การลงทุนทั้งในโครงการใหม่และการขยายงานในโครงการเดิม รวมทั้งการซื้อกิจการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้ว

ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้าของบริษัทจะสร้างกระแสเงินสดเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ ประมาณการของทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ประมาณ 4-6 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2564-2566 โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 2.5-3 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2560-2562 ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าการกระจายการลงทุนเชิงกลยุทธ์จะช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้แก่บริษัทเพื่อให้สามารถรองรับความผันผวนของราคาน้ำมันและค่าการกลั่นได้ในระยะยาว

รวมธุรกิจของ OKEA เข้ามา

ปัจจุบันบริษัทถือหุ้น 46.09% ใน OKEA ASA (OKEA) ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศสัญชาตินอร์เวย์ OKEA ดำเนินการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในแหล่งที่มีปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่ผ่านการพิสูจน์แล้วนอกชายฝั่งนอร์เวย์ เนื่องจากบริษัทมีอำนาจการควบคุมใน OKEA ดังนั้น บริษัทจึงได้นำผลการดำเนินงานทางการเงินของ OKEA เข้ามารวมในงบการเงินของบริษัทโดยเริ่มตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2564 เป็นต้นไป ในปี 2563 OKEA จำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมได้ประมาณ 5.8 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ โดยที่ประมาณ 70% เป็นน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลว ส่วนอีกประมาณ 30% นั้นเป็นก๊าซธรรมชาติ ราคาน้ำมันดิบที่ลดลงอย่างมากในปี 2563 ส่งผลทำให้ราคาจำหน่ายปิโตรเลียมโดยเฉลี่ยของ OKEA ลดลง 35% มาอยู่ที่ 30.7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการดำเนินงานของ OKEA นั้นค่อนข้างต่ำโดยอยู่ที่ประมาณ 12-15 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ทั้งนี้ ในปี 2563 OKEA มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ประมาณ 2.9 พันล้านบาทและมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ประมาณ 50% และสำหรับในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 นั้น ราคาจำหน่ายปิโตรเลียมโดยเฉลี่ยของ OKEA เพิ่มขึ้น 80% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอยู่ที่ประมาณ 52 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ซึ่งส่งผลให้ OKEA มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่จำนวน 2 พันล้านบาท

ทริสเรทติ้งประมาณการว่ายอดขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของ OKEA จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 7 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในปี 2565 โดยจะมีกำลังการผลิตเพิ่มมาจาก ?แหล่ง Yme? ด้วย หลังจากนั้น ยอดขายจะทยอยลดลงเหลือประมาณ 4.5-5.5 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในปีถัด ๆ ไปตามปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่พิสูจน์แล้วที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ ภายใต้ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่า OKEA จะสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายให้แก่บริษัทที่จำนวน 5-9 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2565-2566 อย่างไรก็ตาม การรวมผลการดำเนินงานของ OKEA เข้ามาในงบการเงินของบริษัทนั้นจะเพิ่มเงินกู้ที่มีภาระดอกเบี้ยมูลค่าประมาณ 8.8 พันล้านบาทและหนี้สินสำหรับต้นทุนในการรื้อถอนอีกประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาทเข้ามาด้วย

ภาระหนี้ยังคงอยู่ในระดับสูง

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมีภาระหนี้อยู่ในระดับสูงจากแผนการลงทุนขนาดใหญ่ โดยภาพรวมแล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้งบในการลงทุนและใช้จ่ายทั้งสิ้นประมาณ 5.2 หมื่นล้านบาทในช่วงระหว่างปี 2564-2566 โดยเงินลงทุนจำนวน 3.6 หมื่นล้านบาทจะนำไปใช้ในธุรกิจผลิตไฟฟ้า จำนวน 8.5 พันล้านบาทจะใช้ในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและธุรกิจการตลาด จำนวน 1.8 พันล้านบาทจะใช้ในธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ จำนวน 5.7 พันล้านบาทจะใช้ในกิจกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และที่เหลืออีกจำนวน 0.5 พันล้านบาทจะใช้ในกิจกรรมอื่น ๆ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว ๆ 60% ในช่วงระหว่างปี 2564-2566 จากประมาณ 50% ณ เดือนมิถุนายน 2564

ทริสเรทติ้งประมาณการว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 1.8-2 หมื่นล้านบาทในปี 2564 ซึ่งรวมผลการดำเนินงานของ OKEA ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ด้วย ทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2.1-2.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2565-2566 จากการมีค่าการกลั่นที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น ตลอดจนยอดขายน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น และผลการดำเนินงานของ OKEA ที่รวมเข้ามา โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 4-4.5 เท่าในช่วงระหว่างปี 2565-2566

สถานะสภาพคล่องอยู่ในระดับที่มั่นคง

บริษัทมีสถานะสภาพคล่องเป็นที่แข็งแรง โดย ณ เดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวนประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท อีกทั้งยังมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานในระยะ 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ประมาณ 1.5-1.7 หมื่นล้านบาท ในขณะเดียวกัน บริษัทจะมีหนี้สินที่ใกล้ครบกำหนดชำระซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ระยะยาว หนี้สินตามสัญญาเช่า และหุ้นกู้อยู่ที่ประมาณ 8.6 พันล้านบาท

โครงสร้างหนี้

ณ เดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีภาระหนี้รวมอยู่ที่ประมาณ 7 หมื่นล้านบาท (รวมหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน) โดยหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนประกอบด้วยหนี้ของบริษัทย่อยซึ่งเป็นหนี้ที่มีหลักประกันมูลค่า 2.3 หมื่นล้านบาทและหนี้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันมูลค่า 8 พันล้านบาท ในขณะที่อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้ทั้งหมดของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 44% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? ราคาน้ำมันดิบจะอยู่ที่ระดับ 66 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2564 และ 65 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2565 และ 60 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2566

? กำลังการกลั่นน้ำมันดิบของโรงกลั่นของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1.1-1.2 แสนบาร์เรลต่อวันในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จนถึงปี 2566

? ค่าการกลั่นพื้นฐานของบริษัทจะอยู่ที่ 3.5-4 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2564 และ 4-6 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในช่วงปี 2565-2566

? ยอดขายผ่านสถานีบริการน้ำมันของบริษัทจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ประมาณ 4%-6% ในช่วงปี 2564-2566

? ประมาณการเงินลงทุนทั้งสิ้น 5.2 หมื่นล้านบาทในช่วงระหว่างปี 2564-2566

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่ากำไรจากธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทจะฟื้นตัวต่อไปในช่วงระยะเวลาประมาณการจากการฟื้นตัวของอุปสงค์น้ำมันและค่าการกลั่นรวมถึงประสิทธิภาพในการผลิตที่ดีขึ้นของบริษัท ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะที่แข็งแกร่งในธุรกิจการตลาดของบริษัทเอาไว้ได้ในขณะที่การลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าก็คาดว่าจะสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอนให้แก่บริษัทได้อีกด้วย

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีจำกัดในระยะใกล้ ในขณะที่ปัจจัยที่มีผลในเชิงลบต่ออันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้ หรือโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงซึ่งอาจเกิดจากการลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องมีการก่อหนี้ หรือบริษัทประสบผลขาดทุนอย่างมากจากการลงทุนซึ่งทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 8 เท่าเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่อง

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน (Hybrid Securities), 28 มิถุนายน 2564

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP)

อันดับเครดิตองค์กร: A-

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

BCP224A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A-

BCP225A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A-

BCP238A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A-

BCP244A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A-

BCP258A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A-

BCP273A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A-

BCP275A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A-

BCP28DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 7,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A-

BCP303A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 A-

BCP305A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 A-

หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 10,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 12 ปี A-

BCP19PA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 10,000 ล้านบาท BBB

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ