ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A-? พร้อมทั้งเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น ?Stable? หรือ ?คงที่? จาก ?Negative? หรือ ?ลบ? พร้อมกันนี้ บริษัทได้แจ้งความประสงค์ขอให้ ทริสเรทติ้งยกเลิกอันดับเครดิต ดังนั้น อันดับเครดิตของบริษัทที่ประกาศต่อสาธารณชนจะไม่ได้รับการทบทวนอีกต่อไปนับจากวันที่ประกาศนี้
อันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงสถานะการเป็นบริษัทย่อยที่สำคัญของบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ? (Group Rating Methodology) ของทริสเรทติ้ง ทั้งนี้ บริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่นได้รับการอันดับเครดิต ?A-? แนวโน้ม ?Stable? หรือ ?คงที่? จากทริสเรทติ้ง
ส่วนอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทนั้นอยู่ที่ระดับ ?a? ซึ่งสะท้อนถึงระดับหนี้สินที่ค่อนข้างต่ำ ตลอดจนผลงานของบริษัทที่ได้รับการยอมรับในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและฐานรายได้ประจำที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ รายได้ประจำจำนวนมากของบริษัทมาจากธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภค ธุรกิจสินทรัพย์ให้เช่า และเงินปันผลจากการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
เป็นบริษัทย่อยที่สำคัญของกลุ่มดับบลิวเอชเอ
บริษัทดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ เป็นบริษัทย่อยหลักของบริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น เมื่อพิจารณาจากความสำคัญในเชิงกลยุทธ์และการเป็นผู้สร้างรายได้หลักให้แก่กลุ่มดับบลิวเอชเอ บริษัทรวมถึงบริษัทลูกรับผิดชอบในการดำเนินธุรกิจหลัก 2 ประเภทคือ ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและธุรกิจการให้บริการสาธารณูปโภค การมีบริษัทแม่เป็นผู้ควบคุมทิศทางการดำเนินธุรกิจและนโยบายทางการเงินทั้งหมดของบริษัทจึงทำให้สถานะเครดิตของบริษัทมีความเชื่อมโยงกับสถานะเครดิตของบริษัทแม่อย่างใกล้ชิด
ในปี 2563 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานรวมคิดเป็นสัดส่วน 77% และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายคิดเป็นสัดส่วน 85% ของบริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น
เป็นผู้นำในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม
บริษัทเป็นผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเมื่อพิจารณาจากยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมภายในประเทศโดยรวม บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ระดับประมาณ 30%-66% ในระหว่างปี 2559-2563 ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 44% รองลงมาคือ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) (30%) และ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) (22%)
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ขยายการลงทุนไปในประเทศเวียดนามโดยนิคมอุตสาหกรรมแห่งแรกของบริษัทตั้งอยู่ในเมือง Nghe-An บริษัทได้รับใบอนุญาตลงทุนจากรัฐบาลเวียดนามในการเช่าที่ดินขนาด 498 เฮกตาร์ (หรือ 3,113 ไร่) นิคมเฟสแรกมีพื้นที่สำหรับขายจำนวน 631 ไร่ และ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีที่ดินคงเหลือพร้อมขายจำนวน 334 ไร่ ทั้งนี้ การพัฒนานิคมในเฟสถัดไปอยู่ระหว่างการเวนคืนที่ดิน รวมทั้งขั้นตอนการรอยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้าง
?
อุปสงค์ของที่ดินได้รับผลกระทบอย่างมากจากโรคโควิด 19
รายได้จากการขายที่ดินลดลงอย่างมากจากผลกระทบของมาตรการควบคุมการเดินทางและเศรษฐกิจที่ตกต่ำจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยของบริษัทเหลือเพียง 218 ไร่ในปี 2563 และ 241 ไร่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 เทียบกับระดับ 800-1,000 ไร่ในปี 2559-2562 รายได้จากการขายที่ดินอยู่ที่ระดับ 1.5 พันล้านบาทในปี 2563 และ 0.6 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ลดลงจากระดับ 3.5 พันล้านบาทในปี 2562 ทริสเรทติ้งคาดว่าสถานการณ์การระบาดของโรคโควิดระลอกล่าสุดที่ทวีความรุนแรงจะส่งผลกระทบต่อยอดขายที่ดินของบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นอย่างมากในปี 2565-2566 จากการผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทาง ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่าบริษัทจะมียอดขายที่ดินในประเทศไทยประมาณ 500 ไร่ในปี 2564 และเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 800-900 ไร่ ซึ่งใกล้เคียงกับระดับก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด 19 ในช่วงปี 2565-2566 รายได้จากการขายที่ดินในประเทศไทยของบริษัทจะอยู่ที่ 1.3 พันล้านบาทในปี 2564 และจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.3-2.9 พันล้านบาทต่อปีในปี 2565-2566
ทริสเรทติ้งมองว่าธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมจะยังคงมีแนวโน้มที่ดีในอนาคตในระยะปานกลางถึงระยะยาว การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Disruption) ในช่วงที่ไวรัสแพร่ระบาดอย่างหนัก ตลอดจนความตึงเครียดของสงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและจีนน่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้มีการย้ายฐานออกจากประเทศจีน โดยที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเป็นกลุ่มประเทศเป้าหมายที่ได้รับความนิยมในการย้ายฐานการผลิตมากที่สุด นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ในสถานะที่ดีที่จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างชาติ จากการที่บริษัทมีที่ดินจำนวนมากถึงประมาณ 8,058 ไร่ (รวมถึงที่ดินที่อยู่ในนิคมแห่งใหม่ที่อยู่ระหว่างรอการพัฒนา) ซึ่งประมาณ 82% ของที่ดินทั้งหมดนี้อยู่ในเขตจังหวัดชลบุรีและระยอง ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก
ความต้องการพื้นที่เช่าของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น
ความต้องการสินทรัพย์ให้เช่าเติบโตเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยรายได้จากค่าเช่าของบริษัทเพิ่มขึ้นจากระดับ 210 ล้านบาทในปี 2562 มาอยู่ที่ 290 ล้านบาทในปี 2563 ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 120 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 จากการขายสินทรัพย์พื้นที่ให้เช่า HREIT ในช่วงปลายปี 2563 ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองว่าความต้องการโรงงานและคลังสินค้าสำเร็จรูปให้เช่าของบริษัทที่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกนั้นน่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคตข้างหน้าในระยะปานกลาง ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งก็คาดว่าการพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศอีกด้วย
มีกระแสเงินสดที่แน่นอนจากธุรกิจสาธารณูปโภคและธุรกิจโรงไฟฟ้า
สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทได้รับการสนับสนุนจากกระแสเงินสดที่มีเสถียรภาพของธุรกิจสาธารณูปโภคและธุรกิจผลิตไฟฟ้า
รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคที่ค่อนข้างมั่นคงช่วยลดผลกระทบจากการผันผวนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมได้บางส่วน รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องจากระดับ 1.8 พันล้านบาทในปี 2559 มาอยู่ที่ระดับ 2.3 พันล้านบาทในปี 2562 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปี (Compound Annual Growth Rate -- CAGR) ที่ระดับ 8.1% ก่อนที่จะลดลง 9.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 2 พันล้านบาทในปี 2563 จากสถานการณ์ภัยแล้งที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคของบริษัทฟื้นตัวอย่างมากในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 โดยเพิ่มขึ้น 16.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 1.2 พันล้านบาท การปรับตัวดีขึ้นของรายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคเป็นผลมาจากการกลับมาดำเนินการผลิตของโรงงานที่หยุดการผลิตชั่วคราวในช่วงที่มีการแพร่ระบาดรุนแรง และการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นของหลายโรงงานที่ลดการใช้น้ำลงในช่วงที่มีภาวะภัยแล้งรุนแรงในปี 2563 นอกจากนี้ ยังมีปริมาณการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้าแห่งใหม่จำนวน 2 แห่งที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ในอนาคต ทริสเรทติ้งมองว่ารายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคของบริษัทจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไปจากการที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและลูกค้าที่ซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทเริ่มทยอยดำเนินการผลิต ตลอดจนความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ ๆ ที่ตั้งอยู่ในนิคมของบริษัท
นอกจากนี้บริษัทยังได้รับเงินปันผลที่แน่นอนจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าหลายแห่งอีกด้วย ปัจจุบันกำลังการผลิตติดตั้งรวมของโรงไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทอยู่ที่ 596 เมกะวัตต์ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะได้รับเงินปันผลจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าประมาณ 0.9-1.0 พันล้านบาทในปี 2564-2566 ซึ่งเงินปันผลดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วน 19%-28% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทในปี 2564-2566
หนี้สินทางการเงินลดลง
เงินกู้รวมของบริษัทลดลงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ บริษัทได้ทยอยชำระหนี้อย่างต่อเนื่องโดยใช้เงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นครั้งแรกแก่ประชาชนทั่วไปของบริษัทย่อยคือ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ตลอดจนเงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์ HREIT และเงินกู้ที่ได้รับชำระคืนจากบริษัทแม่ ส่งผลให้หนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2564 จากระดับที่สูงถึง 2.4 หมื่นล้านบาทในปี 2559 โดยที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 37.8% ณ เดือนมิถุนายน 2564 จากระดับ 56.4% ในปี 2559
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทมีโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่รอการพัฒนาอยู่ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าค่าใช้จ่ายลงทุนรวมของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2564-2566 โดยส่วนใหญ่จะใช้ในการลงทุนซื้อที่ดินและพัฒนานิคมอุตสาหกรรมทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม และอีกส่วนหนึ่งจะใช้ลงทุนในธุรกิจสาธารณูปโภคและโรงไฟฟ้า ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของ ทริสเรทติ้งคาดว่า กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 3.6-4.9 พันล้านบาทต่อปี และเงินทุนจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ประมาณ 2.9-4.0 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2566 เมื่อพิจารณาจากระดับประมาณการกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ตลอดจนภาระการชำระคืนหนี้ และเงินลงทุนดังกล่าวแล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 20%-27% ในช่วงระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายที่ปรับปรุงแล้วจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3-4 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะลดลง 15% มาอยู่ที่ระดับ 5.4 พันล้านบาทในปี 2564 และจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 7.8-8.0 พันล้านบาทในปี 2565-2566
? อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 60%-67% ในปี 2564-2566
? ค่าใช้จ่ายลงทุนรวมจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นไปตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ? ของทริสเรทติ้ง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
เนื่องจากบริษัทเป็นบริษัทย่อยหลักของบริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น อันดับเครดิตของบริษัทจึงขึ้นอยู่กับสถานะเครดิตของบริษัทแม่ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในอันดับเครดิตของบริษัทแม่ก็จะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (WHAID)
อันดับเครดิตองค์กร: A-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable