ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันของ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด (FPHT หรือผู้ออกหุ้นกู้) ที่ระดับ ?AA-? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? หรือ ?ลบ? โดยหุ้นกู้ดังกล่าวอยู่ภายใต้โครงการออกหุ้นกู้วงเงินรวม 2.5 หมื่นล้านบาทของผู้ออกหุ้นกู้และหุ้นกู้ทั้งหมดได้รับการค้ำประกันโดย Frasers Property Ltd. (FPL หรือผู้ค้ำประกัน) ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้เป็นบริษัทลูกที่ถือหุ้นเต็ม 100% ของ FPL ทั้งนี้ อันดับเครดิตหุ้นกู้ดังกล่าวสะท้อนถึงคุณภาพเครดิตของผู้ค้ำประกัน (FPL อันดับเครดิต ?AA-/Negative? โดยทริสเรทติ้ง)
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของ FPL โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากประสบการณ์ที่ยาวนานในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนการมีสินทรัพย์คุณภาพดีที่หลากหลายซึ่งกระจายตัวอยู่ในธุรกิจทุกประเภทและหลายทำเลที่ตั้ง รวมถึงฐานรายได้จากสินทรัพย์ให้เช่าที่อยู่ในระดับสูง และการบริหารจัดการเงินทุนที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากภาระหนี้ที่สูงเนื่องจากบริษัทมีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? หรือ ?ลบ? สะท้อนถึงแรงกดดันจากผลกระทบของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้การฟื้นตัวของรายได้ของบริษัทช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้
ภายใต้สัญญาค้ำประกัน FPL จะให้การค้ำประกันอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้สำหรับหุ้นกู้ทั้งจำนวนซึ่งรวมถึงเงินต้น ตลอดจนหนี้ดอกเบี้ยหุ้นกู้ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยหุ้นกู้มีการค้ำประกันดังกล่าวจะได้รับการจัดชั้นให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่าหนี้ที่ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิอื่น ๆ ของ FPL และสัญญาค้ำประกันนี้อยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศสิงคโปร์
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ธุรกิจที่กระจายตัวดีเป็นปัจจัยสนับสนุนสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง
ธุรกิจที่มีความหลากหลายและกระจายตัวอย่างดีทั้งในส่วนของทำเลที่ตั้ง ประเภทธุรกิจ และฐานลูกค้าเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมให้บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง การผสมผสานกันระหว่างสินทรัพย์ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายและเพื่อให้เช่าจะยังคงส่งผลดีต่อ FPL ทั้งในแง่ของความมั่นคงของกระแสเงินสดและความสามารถในการทำกำไรต่อไป ในขณะที่ความหลากหลายของทำเลทางธุรกิจก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากการถดถอยของอุตสาหกรรมในกรณีที่สภาพตลาดในแต่ละประเทศไม่เอื้ออำนวยในบางช่วงเวลาด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ สัดส่วนของสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ประจำจากค่าเช่าที่มีขนาดใหญ่ยังช่วยสร้างฐานรายได้ที่มั่นคงให้แก่บริษัทและช่วยลดความผันผวนและการพึ่งพารายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายได้อีกด้วย
ในภาวะที่สถานการณ์ของโรคโควิด 19 มีความยืดเยื้อ ผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมให้เช่าและสำนักงานให้เช่านั้นช่วยบรรเทาผลกระทบจากโรคโควิด 19 ที่มีต่อธุรกิจโรงแรมและ Serviced Residence และธุรกิจพื้นที่ศูนย์การค้าให้เช่า ในขณะที่รายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศออสเตรเลียที่แข็งแกร่งก็ช่วยลดผลกระทบจากรายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวลงในประเทศสิงคโปร์และประเทศไทย โดยในช่วงปีบัญชี 2564 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 4.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 3.76 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เทียบกับ 3.6 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปีบัญชี 2563 ในขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนการปรับปรุงมูลค่ายุติธรรม ภาษี และรายการพิเศษ (Profit Before Interest, Fair Value Change, Taxation, and Exceptional Items -- PBIT) ลดลง 14% มาอยู่ที่ 1.07 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เนื่องจากอัตรากำไรที่อ่อนตัวลงจากการโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศสิงคโปร์ และยอดขายที่ชะลอตัวในประเทศไทย รวมถึงผลกระทบเต็มปีของโรคโควิด 19 ที่มีต่อธุรกิจโรงแรม แต่อย่างไรก็ตาม PBIT ของบริษัทยังดีกว่าระดับที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 920 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
ผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอของธุรกิจเพื่อการอุตสาหกรรมให้เช่าจะยังคงสนับสนุนรายได้ของบริษัทในอนาคต
ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมให้เช่าและโลจิสติกส์ของ FPL จากการเติบโตของกิจกรรมด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์หรือ ?อีคอมเมิร์ซ? (E-commerce) และคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัท สมมติฐานของทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะจัดสรรเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจนี้เป็นหลักโดยมีงบลงทุนประมาณ 1-2 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ต่อปีในช่วงปีบัญชี 2565-2567 ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมให้เช่าและโลจิสติกส์จะยังคงสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและสม่ำเสมอให้กับบริษัทต่อไปในอนาคต
สินทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมให้เช่าและโลจิสติกส์ส่วนใหญ่ของบริษัทตั้งอยู่ในประเทศออสเตรเลีย เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และประเทศไทย สินทรัพย์ในประเทศออสเตรเลียและยุโรปมีอัตราการเช่าในระดับสูงถึง 98%-100% โดยมีอายุสัญญาเช่าเฉลี่ยนาน 5-7 ปี ณ สิ้นปีบัญชี 2564 สำหรับในประเทศไทยนั้น แม้ว่าทั้งอัตราการเช่าคลังสินค้าและอัตราการเช่าโรงงานจะเพิ่มขึ้น แต่ระยะเวลาการเช่าโดยเฉลี่ยลดลงเมื่อเทียบกับปีบัญชี 2563 ทริสเรทติ้งมองว่าการเติบโตของ E-commerce และการย้ายฐานของห่วงโซ่อุปทานจะช่วยเรื่องอุปสงค์ต่อการเช่าคลังสินค้าและโรงงานในอนาคต
การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจะกระทบต่อธุรกิจพื้นที่ศูนย์การค้าและสำนักงานให้เช่า
ธุรกิจพื้นที่ศูนย์การค้าให้เช่าของ FPL ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศสิงคโปร์และเป็นประเภทศูนย์การค้าชานเมืองในแหล่งชุมชนที่อยู่อาศัย ในปีบัญชี 2564 PBIT ในธุรกิจดังกล่าวเพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีบัญชีก่อนหน้า โดยอยู่ที่ 310 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งการเพิ่มขึ้นดังกล่าวมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นจากการขายสินทรัพย์ในสิงคโปร์ของ Asia Retail Fund (ARF) ให้กับ Frasers Centrepoint Trust (FCT) และรายได้จากการขายศูนย์การค้าบางแห่งออกไปเป็นหลัก การที่บริษัทมีสัดส่วนของผู้เช่าที่ขายสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันในระดับสูงนั้นช่วยบรรเทาผลกระทบจากมาตรการควบคุมโรคโควิด 19 ต่าง ๆ อย่างไรก็ดี การที่สถานการณ์ของโรคโควิด 19 มีความยืดเยื้อจะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของธุรกิจศูนย์การค้าและจะส่งผลกระทบต่อทั้งการปรับค่าเช่าและอายุสัญญาเช่าในที่สุด นอกจากนี้ ในระยะยาว ทริสเรทติ้งมองว่าความนิยมซื้อของออนไลน์ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปหลังจากโรคระบาดจะสร้างความท้าทายต่อธุรกิจศูนย์การค้าและความต้องการเช่าพื้นที่ทั้งในแง่ของขนาดพื้นที่เช่าที่เล็กลงและระยะเวลาการเช่าที่สั้นลง
สำหรับธุรกิจสำนักงานให้เช่าของ FPL นั้นส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยสำนักงานและ Business Park ที่ตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์ ออสเตรเลีย ไทย และสหราชอาณาจักร ณ สิ้นปีบัญชี 2564 อัตราการเช่าสำนักงานของ FPL ยังคงอยู่ในระดับสูงในประเทศสิงคโปร์โดยมีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 92% และในสหราชอาณาจักรอยู่ที่ 91% อย่างไรก็ดี อัตราการเช่าสำนักงานในประเทศออสเตรเลียลดลงจาก 94% ลงมาอยู่ที่ 79% จากธุรกิจที่ซบเซาในรัฐ New South Wales ในขณะที่รูปแบบสัญญาเช่าของธุรกิจสำนักงานให้เช่าช่วยกำจัดผลกระทบที่เกิดจากโรคโควิด 19 ในระยะสั้น การใช้เทคโนโลยีและรูปแบบการทำงานที่มีความยืดหยุ่นทั้งจากที่บ้านและที่ออฟฟิศจะเป็นปัจจัยกดดันต่อธุรกิจสำนักงานให้เช่าในระยะปานกลาง ทริสเรทติ้งคาดว่าจะมีความกดดันเพิ่มสูงขึ้นต่อการปรับเพิ่มราคาค่าเช่า รวมถึงกระทบต่ออัตราการเช่า และระยะเวลาการเช่าสินทรัพย์ของบริษัท
ยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยจะเติบโตมากในปีบัญชี 2566-2567
ในปีบัญชี 2564 FPL มีรายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยประมาณ 1.8 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งยอดขายที่แข็งแกร่งในประเทศออสเตรเลียช่วยลดผลกระทบจากยอดขายที่ชะลอตัวในประเทศสิงคโปร์และประเทศไทย สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยโดยรวมของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 1.7 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปีบัญชี 2565 และจะอยู่ที่ระดับ 2.3-2.7 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ต่อปีได้ในช่วงปีบัญชี 2566-2567 โดยสมมติฐานดังกล่าวพิจารณาจากโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ในแผนการพัฒนาของบริษัทโดยเฉพาะในประเทศสิงคโปร์ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศไทย และสหราชอาณาจักร โดยที่ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายในประเทศจีนจะยังคงอยู่ในระดับต่ำในช่วงดังกล่าวเมื่อพิจารณาจากแผนการซื้อที่ดินและการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ทริสเรทติ้งยังมองว่าแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยจะเป็นความเสี่ยงสำคัญที่จะกระทบต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยและอาจส่งผลให้ยอดขายชะลอตัวลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศออสเตรเลีย
ธุรกิจโรงแรมยังต้องใช้ระยะเวลากว่าที่จะฟื้นตัวกลับสู่ช่วงก่อนเกิดโรคระบาดในปีบัญชี 2564 PBIT ของธุรกิจโรงแรมของ FPL อยู่ที่ 4 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เทียบกับก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ 132 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปีบัญชี 2562 ซึ่งแม้ว่าจะเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นของธุรกิจโรงแรมในหลายภูมิภาค แต่สถานการณ์ของโรคโควิด 19 ที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและการกลายพันธุ์ของไวรัสจะยังคงเป็นอุปสรรคต่อธุรกิจโรงแรมในอีกหลายไตรมาสข้างหน้า ความพยายามในการลดระดับมาตรการจำกัดการเดินทางในหลายประเทศยังคงได้รับแรงกดดันจากการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสที่มีแนวโน้มจะหลบหลีกภูมิคุ้มกันจากวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางทั่วโลกน่าจะยังคงส่งผลกระทบต่อความต้องการเดินทางเพื่อการพักผ่อนต่อไป ในขณะที่ความต้องการเดินทางเพื่อกิจกรรมทางธุรกิจบางส่วนก็อาจถูกทดแทนด้วยการนำเทคโนโลยีสำหรับการประชุมออนไลน์มาใช้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีก 2-3 ปีกว่าธุรกิจโรงแรมจะฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
อัตราส่วนหนี้ยังคงอยู่ในระดับสูง
สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูง โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะอยู่ที่ประมาณ 13.5 เท่าในปีบัญชี 2565 จากมุมมองของทริสเรทติ้ง คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะยังคงได้รับผลกระทบจากโรคโควิด 19 ในอีกหลายไตรมาสข้างหน้า อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้งคาดหวังให้บริษัทลดระดับอัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวลงมาต่ำกว่า 12 เท่าให้ได้ในปีบัญชี 2566 รวมทั้งรักษาระดับอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ให้ต่ำกว่า 12 เท่าเพื่อรักษาอันดับเครดิตปัจจุบันของบริษัท
สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้จำนวน 3.9-4 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปีบัญชี 2565 และจำนวน 4.5-5.4 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ต่อปีในปีบัญชี 2566-2567 และมี EBITDA ประมาณ 1.3-1.6 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ต่อปีในปีบัญชี 2565-2567 เพิ่มขึ้นจากระดับ 1.2 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปีบัญชี 2564 ซึ่งเมื่อพิจารณาจากแผนการขยายธุรกิจของบริษัทโดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมให้เช่าและโลจิสติกส์ ทำให้คาดว่าบริษัทจะมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้ว (รวมภาระผูกพันการเช่าดำเนินงานและตราสารหนี้ที่ไม่กำหนดวันไถ่ถอน) เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 1.7-1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพิ่มขึ้นจากระดับ 1.57 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ณ สิ้นปีบัญชี 2564 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีการบริหารจัดการด้านเงินทุนที่มีประสิทธิภาพโดยการขายสินทรัพย์บางส่วนผ่านทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trusts -- REITs) หรือผ่านพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อรักษาระดับอัตราส่วนหนี้สินให้อยู่ในระดับเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้
การขายสินทรัพย์ (Asset Recycle) ช่วยรักษาระดับโครงสร้างเงินทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย
บริษัทมีนโยบายที่จะรักษาระดับหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นให้ต่ำกว่า 1 เท่า ณ เดือนกันยายน 2564 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 0.75 เท่า และมีมูลค่าสุทธิที่จับต้องได้รวม 1.85 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ บริษัทมีการบริหารเงินทุนและรักษาระดับโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับเป้าหมายผ่านการขายสินทรัพย์ที่มีรายได้ที่คงที่เข้าทรัสต์ฯ หรือขายให้กับบุคคลอื่น
ปัจจุบัน FPL เป็นสปอนเซอร์และมีบริษัทย่อยเป็นผู้บริหารจัดการ (Manager) ของทรัสต์ฯ จำนวน 3 แห่งประกอบด้วย Frasers Centrepoint Trust (FCT) ซึ่งลงทุนในธุรกิจพื้นที่ศูนย์การค้าให้เช่า Frasers Logistics & Commercial Trust (FLCT) ซึ่งลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ รวมถึงสำนักงานและ Business Park ให้เช่า และ Frasers Hospitality Trust (FHT) ซึ่งลงทุนในโรงแรมและ Serviced Residence ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่า FPL จะมีสินทรัพย์ที่สามารถนำมาทยอยขายเข้าทรัสต์ฯ หรือขายให้แก่ผู้อื่นประมาณ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ การที่บริษัทน่าจะมีการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์ฯ อย่างต่อเนื่องทำให้ทริสเรทติ้งมองว่าโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะยังอยู่ในระดับดี โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วต่อเงินทุนจะอยู่ในระดับ 47%-50% หรือระดับหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 1 เท่า ในระหว่างปีบัญชี 2565-2567
ณ เดือนกันยายน 2564 บริษัทมีภาระหนี้ทั้งสิ้นจำนวน 1.85 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยเป็นหนี้สินที่มีประกันรวมประมาณ 2.9 พันดอลลาร์สิงคโปร์และหนี้สินของบริษัทย่อยรวมประมาณ 1.11 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ บริษัทจึงมีอัตราส่วนหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับการชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมอยู่ที่ระดับ 75% ซึ่งเกินกว่าระดับเพดานที่ 50% ซึ่งโดยปกติจะบ่งชี้ถึงสถานะที่ด้อยสิทธิ์กว่าของเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันเมื่อเทียบกับเจ้าหนี้ที่มีสิทธิ์เหนือกว่า อย่างไรก็ดี เนื่องจากบริษัทมีหน่วยธุรกิจที่ดำเนินธุรกิจหลายแห่ง ผลการดำเนินงานของแต่ละหน่วยธุรกิจไม่มีความสัมพันธ์กันและไม่มีหน่วยธุรกิจใดที่สร้างกำไรหรือกระแสเงินสดให้แก่ FPL มากกว่า 50% ซึ่งทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าจะช่วยลดความเสียเปรียบของเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ทริสเรทติ้งจึงจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ที่ได้รับการค้ำประกันโดย FPL ให้อยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตองค์กรของ FPL ที่ระดับ ?AA-?
สภาพคล่องที่ยังบริหารจัดการได้
ณ เดือนกันยายน 2564 ทริสเรทติ้งประเมินว่า FPL จะสามารถบริหารจัดการสภาพคล่องได้ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระจำนวน 4.8 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์และจะจ่ายเงินปันผลที่ประมาณ 450-550 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะมีแผนลงทุนรวมประมาณ 1.8 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์และจะลงทุนในโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยรวมประมาณ 1-1.5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยแหล่งที่มาของเงินทุนประกอบด้วยเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ เดือนกันยายน 2564 จำนวน 3.8 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 600-650 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ รวมทั้งวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกบางส่วน โดยคาดว่าบริษัทต้องรีไฟแนนซ์หนี้สินบางส่วนและ/หรือขายสินทรัพย์บางส่วนออกไป
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? FPL จะมีรายได้จำนวน 3.9-4 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปีบัญชี 2565 และจำนวน 4.5-5.4 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ต่อปีในปีบัญชี 2566-2567
? มี EBITDA ประมาณ 1.3-1.6 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ต่อปีในปีบัญชี 2565-2567
? FPL จะมีงบลงทุนรวมอยู่ที่ประมาณ 1.8 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปีบัญชี 2565 และประมาณ 2.5-2.9 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ต่อปีในปีบัญชี 2566-2567
? เงินลงทุนในโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยรวมคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1-1.5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ต่อปีในปีบัญชี 2565-2567
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? หรือ ?ลบ? สะท้อนถึงผลกระทบจากโรคโควิด 19 ที่ยืดเยื้อซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อธุรกิจและรายได้ของบริษัท ระดับหนี้สินทางการเงินของบริษัทมีแนวโน้มที่จะอยู่สูงเกินกว่าเพดานที่กำหนดสำหรับอันดับเครดิตปัจจุบันของบริษัทที่ให้มีระดับอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ไม่เกิน 12 เท่าอย่างน้อยในระยะเวลา 12 เดือนข้างหน้า
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตหุ้นกู้ของ FPHT หรือผู้ออกหุ้นกู้อาจมีการเปลี่ยนแปลงหากอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของผู้ค้ำประกันคือ FPL มีการเปลี่ยนแปลง โอกาสในการปรับลดอันดับเครดิตของ FPL อาจเกิดขึ้นได้หากภาระหนี้สินทางการเงินของ FPL ที่วัดจากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อEBITDA อยู่ในระดับเกินกว่า 12 เท่าอย่างต่อเนื่องซึ่งอาจจะเกิดทั้งจากการมีผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงหรือจากการลงทุนโดยการก่อหนี้เชิงรุก ในขณะที่โอกาสในการเพิ่มอันดับเครดิตของ FPL มีจำกัดในระยะใกล้เมื่อพิจารณาจากฐานะการเงินของบริษัทในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของ FPL อาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากโครงสร้างหนี้สินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจนมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ต่ำกว่า 7 เท่าอย่างต่อเนื่อง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า, 15 กรกฎาคม 2564
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด (FPHT)
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
โครงการหุ้นกู้มีการค้ำประกัน 25,000 ล้านบาท:
- FPHT228A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 2,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 AA-
- FPHT233A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 AA-
- FPHT24DA: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 AA-
- FPHT283A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 AA-
- FPHT288A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 1,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 AA-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative