ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ ?BBB? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1.8 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ ?BBB? ด้วย ทั้งนี้ อันดับเครดิตของหุ้นกู้ชุดใหม่ใช้แทนอันดับเครดิตหุ้นกู้เดิมที่ได้รับการจัดอันดับไปเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 เนื่องจากบริษัทมีความประสงค์ที่จะเพิ่มวงเงินรวมของหุ้นกู้เป็น 1.8 พันล้านบาทจากเดิม 1.5 พันล้านบาท ในการนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้เสริมเงินทุนหมุนเวียนและลงทุนในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนแบรนด์สินค้าของบริษัทซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดคอนโดมิเนียมระดับราคาประหยัดจนถึงระดับบน ตลอดจนยอดขายรอการรับรู้รายได้ (Backlog) จำนวนมากที่จะช่วยประกันรายได้ในอนาคตของบริษัทได้ส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตได้รับแรงกดดันจากระดับหนี้สินของบริษัทที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นจากการขยายธุรกิจ ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่ยืดเยื้อซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่ออุปสงค์ที่อยู่อาศัยและความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง
บริษัทมียอดขายทั้งจากโครงการของตนเองและจากโครงการร่วมทุนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ลดลง 63% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 2.2 พันล้านบาท และรายได้จากการขายที่อยู่อาศัยก็ลดลง 28% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วมาอยู่ที่ 5.1 พันล้านบาท สภาพเศรษฐกิจที่ถดถอยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้กำลังซื้อที่อยู่อาศัยทั้งของลูกค้าชาวไทยและต่างชาติอ่อนตัวลงมาตั้งแต่ปี 2563 บริษัทได้เลื่อนแผนการเปิดตัวโครงการจำนวน 6 จากทั้งหมด 9 โครงการจากปี 2564 มาเป็นปี 2565 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทจะเปิดตัวโครงการจำนวนมากในปี 2565 และมีแผนจะเพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้มากยิ่งขึ้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่ายอดขายของบริษัทจะฟื้นตัวไปอยู่ที่ระดับ 1.2-1.3 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567
ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ในช่วง 9 พันล้านบาทถึง 1.3 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2567 โดยรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ในช่วง 7-9 พันล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นประมาณ 70%-80% ของรายได้จากการดำเนินงานรวม และคาดว่ารายได้จากการให้บริการก่อสร้างและการตลาดแก่กิจการร่วมทุนจะอยู่ที่ 400-500 ล้านบาทในปี 2564 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.5-4.0 พันล้านบาทต่อปีระหว่างปี 2565-2567 ทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 1.5-2.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงประมาณการ โดยที่รายได้ที่จะได้รับอย่างต่อเนื่องจากยอดขายรอการรับรู้รายได้จะช่วยลดความผันผวนของรายได้และกำไรของบริษัทได้บางส่วน ทั้งนี้ ณ เดือนกันยายน 2564 บริษัทมียอดขายรอการรับรู้เป็นรายได้ทั้งสิ้นจำนวน 1.02 หมื่นล้านบาท ซึ่งประมาณ 65% จะรับรู้ในปี 2565
ณ เดือนกันยายน 2564 บริษัทมีโครงการต่าง ๆ ในมือซึ่งประกอบไปด้วยโครงการคอนโดมิเนียมที่บริษัทพัฒนาเองจำนวน 17 โครงการ โครงการคอนโดมิเนียมภายใต้กิจการร่วมทุนจำนวน 1 โครงการ และบ้านจัดสรรอีกจำนวน 1 โครงการ โครงการของบริษัทมีมูลค่าเหลือขาย (รวมทั้งยูนิตที่สร้างเสร็จแล้วและที่ยังไม่ได้ก่อสร้าง) จำนวน 1.57 หมื่นล้านบาท โดยเป็นโครงการคอนโดมิเนียมในสัดส่วน 95% ของมูลค่าเหลือขายรวม ส่วนที่เหลือเป็นโครงการบ้านจัดสรร ทั้งนี้ บริษัทมีสินค้าเหลือขายที่สร้างแล้วเสร็จมูลค่า 3.5 พันล้านบาทซึ่งสามารถรับรู้เป็นรายได้ทันทีเมื่อมีการขาย
ทริสเรทติ้งคาดว่าระดับหนี้สินของบริษัทจะปรับเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 3 ปีข้างหน้าจากการขยายธุรกิจอย่างมาก ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม (พัฒนาโดยบริษัทและภายใต้กิจการร่วมทุน) มูลค่า 1.9 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566 และ 5 พันล้านบาทในปี 2567 และยังประมาณการว่าบริษัทจะเปิดตัวโครงการแนวราบมูลค่า 1.35 หมื่นล้านบาทในปี 2565 และ 3 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2566-2567 โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 65%-70% ในช่วงประมาณการจากระดับ 64% ณ เดือนกันยายน 2564 และอัตราส่วนหนี้สินที่ได้รับการปรับปรุงสุทธิต่อทุนจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2 เท่าในช่วงเดียวกัน โดยเพิ่มขึ้นจาก 1.4-1.8 เท่าในปี 2563 จนถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ระดับ 5%-10% จากระดับที่สูงเกินกว่า 20% ในช่วงปี 2562-2563 และ 14% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564
ณ เดือนกันยายน 2564 บริษัทมีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 9.3 พันล้านบาท โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนจำนวน 3.9 พันล้านบาทซึ่งเป็นหนี้เพื่อใช้พัฒนาโครงการของบริษัทแม่และบริษัทย่อยที่กู้มาจากสถาบันการเงิน เนื่องจากอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 42% ซึ่งต่ำกว่าระดับ 50% ตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้? ทริสเรทติ้งจึงมองว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทไม่ได้มีความเสียเปรียบเจ้าหนี้ที่มีสิทธิ์สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด
ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยแหล่งที่มาของสภาพคล่องของบริษัทประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 1.2 พันล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2564 และวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่ติดเงื่อนไขในการเบิกอีกจำนวนประมาณ 500 ล้านบาท
ณ เดือนธันวาคม 2564 รวมถึงเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1.1 พันล้านบาทในปี 2565 นอกจากนี้ บริษัทยังมีที่ดินที่ปลอดภาระซึ่งมีมูลค่าตามบัญชีรวมประมาณ 900 ล้านบาทและคอนโดมิเนียมที่สร้างแล้วเสร็จในโครงการที่ปลอดภาระซึ่งมีราคาขายรวมประมาณ 2.8 พันล้านบาทซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันสำหรับวงเงินกู้กับสถาบันการเงินได้ ในขณะที่บริษัทมีภาระในการใช้เงินทุนซึ่งประกอบไปด้วยหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 2.6 พันล้านบาท เงินทุนหมุนเวียนที่ต้องการเพิ่มเติมประมาณ 0.8-1.0 พันล้านบาทต่อปี และเงินลงทุนในบริษัทร่วมและกิจการร่วมทุนอีกประมาณ 1.2-1.4 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลที่ระดับประมาณ 40% ของกำไรสุทธิ ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระตามข้อกำหนดทางการเงินของหุ้นกู้และเงินกู้ธนาคารระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนให้ต่ำกว่า 2.5 เท่า ซึ่ง ณ เดือนกันยายน 2564 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 1.54 เท่า ซึ่งทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถบริหารโครงสร้างทางการเงินให้สอดคล้องกับเงื่อนไขดังกล่าวต่อไปได้ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอับดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทน่าจะมีผลการดำเนินงานเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้และสามารถส่งมอบยอดขายที่ยังไม่ได้โอนได้ตามแผน นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะรักษาอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินให้อยู่ในระดับประมาณ 5%-10% และอัตราส่วนหนี้สินที่ปรับปรุงแล้วสุทธิต่อทุนให้ต่ำกว่า 2 เท่าได้อย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงได้หากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงจากที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากขนาดธุรกิจของบริษัทขยายใหญ่ขึ้นและโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมากจากระดับปัจจุบันซึ่งจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ในระดับต่ำกว่า 60% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่ปรับปรุงแล้วสุทธิต่อทุนต่ำกว่าระดับ 1.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (NOBLE)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
NOBLE242A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 1,800 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 3 ปี BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable