ทั้งนี้ อันดับเครดิตเฉพาะสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่แน่นอนจากการที่บริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตลอดจนเทคโนโลยีที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Cogeneration Power Plant) และประวัติผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัท อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทก็มีข้อจำกัดจากความเสี่ยงจากการพึ่งพาสินทรัพย์ดำเนินงานที่มีเพียงแห่งเดียวด้วยเช่นกัน
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
รายได้ส่วนใหญ่มาจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ กฟผ.
บริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 1 แห่งซึ่งเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2555 โดยบริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวนาน 25 ปีกับ กฟผ. ที่ขนาด 90 เมกะวัตต์ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer -- SPP) ทั้งนี้ สัญญาซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าวซึ่งอยู่ภายใต้รูปแบบไม่ใช้ก็ต้องจ่าย (Take-or-pay Basis) ช่วยลดความเสี่ยงด้านการตลาดได้ส่วนใหญ่ ในการนี้ กฟผ. มีหน้าที่ต้องรับซื้อไฟฟ้าอย่างน้อยในสัดส่วน 80% ของกำลังการผลิตตามสัญญาโดยขึ้นอยู่กับชั่วโมงการทำงานของโรงไฟฟ้า ในขณะที่บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60%-70% ของยอดขายทั้งหมดต่อปีโดยมีความเสี่ยงของการไม่ได้รับการชำระเงินจากผู้ซื้อไฟฟ้าที่น้อยมาก
รายได้ที่แน่นอนของบริษัทยังมีปัจจัยสนับสนุนจากรายได้ค่าพลังไฟฟ้า (Capacity Payment) นอกจากนี้ ผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรายังบรรเทาลงจากการปรับปรุงอัตราค่าไฟฟ้าที่อ้างอิงตามดัชนีอีกด้วย
มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและไอน้ำกับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม
บริษัทยังจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี (นิคมฯ อมตะชลบุรี) อีกด้วย โดยบริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าขนาด 44 เมกะวัตต์และไอน้ำจำนวน 13 ตันต่อชั่วโมงซึ่งครอบคลุมระยะเวลาหลายปี ในการนี้ ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมแต่ละรายมีหน้าที่ต้องซื้อไฟฟ้าและ/หรือไอน้ำจำนวนขั้นต่ำตามที่กำหนดไว้ในสัญญา
บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมในราคาที่มีส่วนลดจากราคาที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จำหน่ายให้แก่ลูกค้าประเภทกิจการขนาดใหญ่ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีการปรับราคาเพื่อสะท้อนต้นทุนเชื้อเพลิงผ่านค่าปรับปรุงเชื้อเพลิงหรือค่า Ft (Fuel Adjustment Charge) อย่างไรก็ตาม การปรับค่า Ft นั้นมักจะมีความล่าช้า อีกทั้งระยะเวลาและจำนวนที่ปรับนั้นก็ยังขึ้นอยู่กับดุลพินิจของหน่วยงานที่รับผิดชอบอีกด้วย ดังนั้น ในกรณีที่ค่าเชื้อเพลิงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็อาจมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลกำไรของบริษัท นอกจากนี้ ยอดขายไฟฟ้ายังขึ้นอยู่กับอุปสงค์ซึ่งขับเคลื่อนโดยระดับของกิจกรรมทางด้านอุตสาหกรรมอีกด้วย
ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
กิจกรรมทางอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ในการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2563
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ยอดขายไฟฟ้าและไอน้ำของบริษัทในกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมฟื้นตัวกลับมาสู่ระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยบริษัทจำหน่ายไฟฟ้าได้ประมาณ 186 กิกะวัตต์-ชั่วโมง (Gigawatt-hour -- GWh) หรือเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะเดียวกัน ยอดขายไอน้ำในกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมก็เพิ่มขึ้น 40% เป็น 83,000 ตัน อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าการกลายพันธุ์ของโรคโควิด 19 เมื่อเร็ว ๆ นี้อาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มความไม่แน่นอนและความยืดเยื้อของการแพร่ระบาดอาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ในการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำของลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมได้
เทคโนโลยีที่พิสูจน์แล้วในเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม
โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมของบริษัทเป็นโรงไฟฟ้าที่มีการทำงานร่วมกันของระบบกังหันก๊าซและระบบกังหันไอน้ำ (Combined-cycle) โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว ระบบดังกล่าวใช้เครื่องยนต์กังหันก๊าซ 2 ชุดที่ผลิตโดย Siemens ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำที่เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าในตลาดโลก ทั้งนี้ กังหันก๊าซ Siemens SGT 800 มีปล่องไฟเบี่ยง (Bypass Stack) ซึ่งทำให้โรงไฟฟ้ามีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น บริษัทสามารถใช้งานกังหันก๊าซได้แม้ในขณะที่กังหันไอน้ำอยู่ในระหว่างการซ่อมบำรุงหรือเพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารจัดการการเดินเครื่องจักร
การปฏิบัติงานของโรงไฟฟ้าของบริษัทนั้นอยู่ภายใต้การบริหารจัดการที่ดีโดยมีสัญญาให้บริการระยะยาว (Long-term Service Agreement --- LTSA) กับ Siemens ซึ่งสัญญาดังกล่าวได้รับการขยายเวลาไปจนถึงปี 2577 โดยครอบคลุมรอบการซ่อมบำรุงใหญ่จำนวน 2 รอบถัดไปของโรงไฟฟ้าซึ่งช่วยให้โรงไฟฟ้าของบริษัทมีความพร้อมและมีประสิทธิภาพอยู่ในระดับสูง
ประวัติการดำเนินงานที่เข้มแข็ง
บริษัทมีทีมดำเนินงานและซ่อมบำรุงประจำวันของตนเอง โดยทีมงานได้รับการฝึกอบรมจาก BGRIM ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานและซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม โรงไฟฟ้าของบริษัทก็มีผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ามาโดยตลอดนับตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินงาน โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 โรงไฟฟ้าของบริษัทมีดัชนีความพร้อมเกือบ 100% และมีอัตราความร้อนที่ขนาด 7,467 บีทียูต่อหน่วยซึ่งดีกว่าอัตราความร้อนอ้างอิงตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีกับ กฟผ. ที่ขนาด 8,000 บีทียูต่อหน่วย ส่วนในด้านของประสิทธิภาพการใช้พลังงานนั้น โรงไฟฟ้าของบริษัทบรรลุดัชนีชี้วัดความสามารถในการใช้พลังงานปฐมภูมิในการผลิตพลังงานไฟฟ้าและพลังงานความร้อนร่วมกัน (Primary Energy Saving -- PES) ซึ่งทำให้ได้รับค่าไฟฟ้าเพิ่มเติมจากค่าการประหยัดการใช้เชื้อเพลิง (Fuel Saving -- FS) ที่อัตรา 0.36 บาทต่อหน่วยจาก กฟผ. ซึ่งทริสเรทติ้งพิจารณาว่าความเสี่ยงที่โรงไฟฟ้าของบริษัทจะถูกปรับหรือยกเลิกสัญญานั้นมีค่อนข้างจำกัดมาก
กระแสเงินสดที่แน่นอน
บริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอนในระดับสูงมาโดยตลอด โดยรายได้และกำไรของบริษัทนั้นมีเสถียรภาพมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในช่วงปี 2561-2563 รายได้ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 2.8-3.1 พันล้านบาทต่อปี กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ระดับ 759-821 ล้านบาทต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ทั้งรายได้และ EBITDA ของบริษัทมีความสอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้งเป็นอย่างมาก ภายใต้ประมาณการพื้นฐานสำหรับปี 2564-2567 นั้น ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ประมาณ 3 พันล้านบาทต่อปี ในขณะที่ EBITDA จะอยู่ในช่วง 670-750 ล้านบาทต่อปี อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จะลดลงอย่างต่อเนื่องไปอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 3 เท่าตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะลดลงเหลือ 50% ในช่วงประมาณการ
มีสินทรัพย์ดำเนินงานเพียงแห่งเดียว
อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากการที่บริษัทมีสินทรัพย์ดำเนินงานเพียงแห่งดียว ดังนั้น บริษัทจึงมีความเสี่ยงทางธุรกิจที่ค่อนข้างสูงกว่าบริษัทผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มีสินทรัพย์ที่ใช้ผลิตไฟฟ้าหลายแห่ง การที่บริษัทขาดความหลากหลายในการดำเนินงานจึงอาจทำให้รายได้ของบริษัทมีความเสี่ยงจากการหยุดดำเนินงานโรงไฟฟ้าอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง เช่น การหยุดเดินเครื่องโรงไฟฟ้าเป็นเวลานาน หรือชิ้นส่วนสำคัญของเครื่องจักรเกิดความเสียหาย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นมีค่อนข้างยากเมื่อพิจารณาจากประวัติการดำเนินงานที่ผ่านการพิสูจน์แล้วของบริษัทและสัญญาให้บริการระยะยาวที่เป็นประโยชน์
ความสามารถในการชำระหนี้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ
ในเดือนเมษายน 2560 บริษัทได้ทำการกู้เงินในรูปแบบของเงินกู้ยืมระหว่างบริษัทจำนวน 3.7 พันล้านบาทจาก บริษัท อมตะ บี. กริม เพาเวอร์ เอสพีวี 1 จำกัด (ABPSPV) เพื่อนำไปชำระคืนหนี้เงินกู้โครงการที่มีกับธนาคารทั้งหมด ทั้งนี้ กำหนดการชำระหนี้เงินกู้ยืมระหว่างบริษัทดังกล่าวนั้นสอดคล้องกับกำหนดการชำระคืนหนี้หุ้นกู้ที่ออกโดย ABPSPV ภาระในการชำระคืนหนี้เงินกู้ของบริษัทในแต่ละปีมีจำนวนที่ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยยอดชำระมีจำนวนตั้งแต่ 14 ล้านบาทไปจนถึง 702 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2561-2575 ซึ่งบริษัทไม่มีภาระในการชำระคืนเงินต้นใน
ปี 2561 รวมถึงในปี 2562 ในปี 2568 และในปี 2574 ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายชำระคืนเงินต้นงวดแรกไปแล้วในเดือนเมษายน 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถบริหารสภาพคล่องและสำรองเงินสดไว้เพื่อรองรับการชำระคืนหนี้เงินกู้ที่มีจำนวนเงินต้นสูงในบางปีได้
ณ เดือนกันยายน 2564 บริษัทมีเงินสดในมือและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 835 ล้าน ทั้งนี้ เงินสดในมือและรายการเทียบเท่าเงินสดที่มีอยู่เมื่อรวมกับประมาณการ EBITDA แล้วน่าจะเพียงพอรองรับภาระหนี้เงินกู้ของบริษัทจำนวน 387-591 ล้านบาทที่จะครบกำหนดในช่วงระหว่างปี 2565-2567
ภาระค้ำประกันหุ้นกู้ของ ABPSPV
บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ค้ำประกันหุ้นกู้ที่มีการค้ำประกันที่ออกโดย ABPSPV โดยผู้ค้ำประกันหุ้นกู้อีก 2 ราย คือ บริษัท อมตะ บี. กริม เพาเวอร์ (ระยอง) 1 จำกัด (ABPR1) และ บริษัท อมตะ บี. กริม เพาเวอร์ (ระยอง) 2 จำกัด (ABPR2) ซึ่งภายใต้เงื่อนไขการค้ำประกันนั้น ผู้ค้ำประกันทั้ง 3 รายจะให้การค้ำประกันแบบร่วมกันและแทนกันได้อย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้สำหรับหุ้นกู้ทั้งจำนวนซึ่งรวมถึงเงินต้นในวงเงินรวมกันทั้งสิ้นไม่เกิน 1.15 หมื่นล้านบาทบวกหนี้ดอกเบี้ยหุ้นกู้และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เป็นบริษัทย่อยเชิงกลยุทธ์ภายใต้กลุ่ม BGRIM
โรงไฟฟ้าของบริษัทเป็น 1 ในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมจำนวนทั้งสิ้น 22 แห่งภายใต้กลุ่ม BGRIM ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2564 กำลังการผลิตติดตั้งของบริษัทคิดเป็น 5% ของกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงทั้งหมดของ BGRIM ส่วนในด้านของกระแสเงินสดนั้น EBITDA ของบริษัทคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 6% ของ EBITDA ทั้งหมดของกลุ่ม BGRIM แม้จะมีส่วนแบ่งรายได้เพียงเล็กน้อย แต่ทริสเรทติ้งก็มองว่าบริษัทมีสถานะเป็นบริษัทย่อยเชิงกลยุทธ์ของ BGRIM ทั้งนี้ ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมเป็นสินทรัพย์หลักในการผลิตไฟฟ้าของ BGRIM ซึ่งคิดเป็น 73% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดของกลุ่ม
BGRIM มีโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมในนิคมฯ อมตะชลบุรีจำนวนทั้งสิ้น 5 แห่งซึ่งรวมโรงไฟฟ้าของ ABP3 ด้วย ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีความสำคัญต่อ BGRIM ในด้านการบริหารจัดการประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยรวมของโรงไฟฟ้าของกลุ่มในนิคมฯ อมตะชลบุรี ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะได้รับการสนับสนุนจาก BGRIM ในฐานะบริษัทแม่เมื่อบริษัทต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน (ในระหว่างปี 2564-2567)
? โรงไฟฟ้าของบริษัทจะมีดัชนีค่าความพร้อมอยู่ในช่วง 92%-98%
? สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. จะอยู่ที่ 90 เมกะวัตต์ และกับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ 44 เมกะวัตต์ รวมทั้งจะมีสัญญาซื้อขายไอน้ำกับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 13 ตัน/ชั่วโมง
? บริษัทจะจำหน่ายไฟฟ้าได้ประมาณ 868-928 GWh ต่อปี และจะจำหน่ายไอน้ำได้ประมาณ 78,000-83,000 ตันต่อปี
? ค่าใช้จ่ายลงทุนจะอยู่ที่ปีละ 8-39 ล้านบาท
? การชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมระหว่างบริษัทจะสอดคล้องกับกำหนดการชำระคืนหนี้หุ้นกู้มีการค้ำประกันที่ออกโดย ABPSPV
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่า ABP3 จะยังคงสามารถดำรงประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่แข็งแกร่งต่อไปโดยที่บริษัทจะสามารถสร้างผลกำไรและรักษาระดับหนี้สินให้เป็นไปตามประมาณการของทริสเรทติ้งได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทนั้นยังมีจำกัดในช่วงระยะ 12-18 เดือนข้างหน้า ในทางกลับกัน ปัจจัยกดดันที่อาจทำให้มีการปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทต่ำกว่าประมาณการของทริสเรทติ้งมาก หรือความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ? ของทริสเรทติ้งแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่มีสาระสำคัญเกี่ยวกับสถานะเครดิตของ BGRIM หรือความเชื่อมโยงระหว่างบริษัทและ BGRIM ก็อาจมีผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 3 จำกัด (ABP3)
อันดับเครดิตองค์กร: A-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable