ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กร บริษัท เคบี เจ แคปปิตอล จำกัด ที่ระดับ ?A-? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? ทั้งนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวได้รับการปรับเพิ่มขึ้น 3 ขั้นจากอันดับเครดิตเฉพาะ (Stand-alone Credit Profile ? SACP) ของบริษัทที่ระดับ ?bbb-? ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งที่มีต่อสถานะของบริษัทว่าเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิง
กลยุทธ์ของ KB Kookmin Card
อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจในระดับปานกลางของบริษัท ฐานทุนที่แข็งแกร่ง ความสามารถในการทำกำไรในระดับปานกลาง นโยบายการบริหารจัดการความเสี่ยงที่รัดกุม และสถานะเงินทุนและสภาพคล่องที่เพียงพอ
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
การเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของ KB Kookmin Card
มุมมองของทริสเรทติ้งต่อสถานะของบริษัทต่อกลุ่มได้รับการสนับสนุนจากการที่ KB Kookmin Card ควบคุมบริษัทผ่านสิทธิออกเสียงข้างมากในบริษัท อีกทั้ง บริษัทยังมีบทบาทในการเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของ KB Kookmin Card ในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การค้ำประกันเงินกู้ยืมของบริษัทโดย KB Kookmin Card ยังแสดงถึงข้อผูกพันในการให้ความสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัทในระยะยาวจาก KB Kookmin Card บริษัทยังมีความเป็นหนึ่งเดียวกับ KB Kookmin Card อย่างมากในด้านการดำเนินงานซึ่งบริษัทปฏิบัติตามนโยบายการดำเนินงานภายในของ KB Kookmin Card อีกทั้งการใช้ชื่อทางการค้าร่วมกับบริษัทแม่หรือ ?KB? ยังส่งเสริมสถานะในการเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของ KB Kookmin Card อีกด้วย ในมุมมองของทริสเรทติ้ง การยกระดับความสำคัญต่อกลุ่มธุรกิจของ KB Kookmin Card ที่มากขึ้น บริษัทจะต้องเสริมความแข็งแกร่งในบทบาทของบริษัทในการเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขยายธุรกิจในต่างประเทศของ KB Kookmin Card โดยแสดงให้เห็นถึงสถานะทางธุรกิจและผลประกอบการที่เข้มแข็งมากขึ้น
สถานะทางธุรกิจระดับปานกลางแต่มีศักยภาพในการเติบโต
ในอดีตบริษัทอยู่ภายใต้การดำเนินงานโดย บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) ในชื่อ บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด ด้วยยอดสินเชื่อคงค้างที่ประมาณ 3.7 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 ก่อนที่ KB Kookmin Card จะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ถึงแม้ว่าการดำเนินงานของบริษัทจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โรคโควิด 19) ในช่วงปี 2563-2564 แต่บริษัทยังสามารถขยายพอร์ตสินเชื่อคงค้างได้ 7% จากปีก่อนหน้า โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 บริษัทมียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 3.9 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สถานะทางธุรกิจของบริษัทยังคงอยู่ในระดับไม่สูงมากเมื่อเทียบกับผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงินอื่น ๆ ในฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง ทริสเรทติ้งเชื่อว่าการเติบโตทางธุรกิจของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจากการสนับสนุนในด้านระบบการปฏิบัติงานจาก KB Kookmin Card อีกทั้งความร่วมมือทางธุรกิจกับกลุ่มเจมาร์ทเพื่อใช้ประโยชน์จากฐานลูกค้าและเครือข่ายสาขาของกลุ่มเจมาร์ทจะช่วยผลักดันศักยภาพในการเติบโตของบริษัทได้อีกทางหนึ่ง
ความหลากหลายของธุรกิจในระดับปานกลาง
บริษัทมีโครงสร้างรายได้จากธุรกิจหลักที่กระจายตัวในระดับปานกลาง โดยมีรายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อหมุนเวียนส่วนบุคคลเป็นแหล่งรายได้หลักหรือคิดเป็นสัดส่วน 61% ของรายได้รวมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 และรายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักประกันคิดเป็นสัดส่วนประเภทละ 5%-6% ของรายได้รวม บริษัทมีแผนจะขยายไปในธุรกิจอื่น ๆ เพิ่มเติม ถึงแม้ว่าแผนดังกล่าวอาจใช้เวลาแต่การกระจายตัวของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและมีนัยสำคัญจะเป็นปัจจัยบวกต่อสถานะทางธุรกิจของบริษัท
ฐานทุนที่แข็งแกร่งและความสามารถในการทำกำไรในระดับปานกลาง
ทริสเรทติ้งคาดว่าสถานะเครดิตของบริษัทจะได้รับการสนับสนุนจากฐานทุนที่เข้มแข็งต่อไปด้วยอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงของบริษัทที่ระดับประมาณ 18%-22% ในปี 2565-2567 การเพิ่มทุนจำนวน 650 ล้านบาทโดย KB Kookmin Card ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 นั้นช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ฐานทุนและช่วยสนับสนุนการเติบโตในอนาคตของบริษัท โดยหลังจากการเพิ่มทุนดังกล่าว อัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 23.6% ในปี 2564 จาก 12.0% ในปี 2563 ภาระหนี้ของบริษัทซึ่งวัดโดยอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นก็ลดลงเช่นเดียวกันมาอยู่ที่ 2.0 เท่าในปี 2564 จาก 4.5 เท่าในปี 2563
บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรในระดับปานกลางด้วยอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยที่ระดับประมาณ 2% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทมีอัตราดอกเบี้ยรับลดลงมาอยู่ที่ 18.6% ในปี 2564 จาก 20%-22% ในอดีต เป็นผลจากการควบคุมอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคล สัดส่วนที่มากขึ้นของสินเชื่อที่มีหลักประกันซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยต่ำ มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด 19 และการแข่งขันด้านราคา อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไว้ได้ที่ระดับประมาณ 17% ในปี 2564 เนื่องจากบริษัทมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลงอย่างมากโดยลดลงมาอยู่ที่ 1.9% ในปี 2564 จาก 4%-5% ในอดีตจากการค้ำประกันเงินกู้ยืมโดย KB Kookmin Card ทริสเรทติ้งคาดว่าต้นทุนทางการเงินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับต่ำในระยะปานกลางแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาดจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และยังคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาระดับของอัตราดอกเบี้ยรับไว้ได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจากการขยายธุรกิจไปในผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น
ทริสเรทติ้งคาดว่าฐานทุนที่เพิ่มขึ้นจากความสามารถในการทำกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นและนโยบายไม่จ่ายเงินปันผลของบริษัทจะช่วยให้บริษัทรักษาความแข็งแกร่งของฐานทุนไว้ได้แม้ว่าสินเชื่อจะเติบโตในอีก 2-3 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม การขยายตัวอย่างรวดเร็วของพอร์ตสินเชื่อที่ทำให้อัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงอ่อนแอลงติดต่อกันช่วงเวลาหนึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันสถานะเครดิตของบริษัทได้
มีนโยบายบริหารจัดการความเสี่ยงที่รัดกุม
บริษัทมีธุรกิจหลักคือสินเชื่อหมุนเวียนส่วนบุคคลและสินเชื่อส่วนบุคคลแบบไม่มีหลักประกันโดยคิดเป็น 78% ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 เนื่องด้วยฐานลูกค้าของบริษัทในปัจจุบันประกอบไปด้วยกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงต่ำ ทริสเรทติ้งจึงมองว่าปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้บริษัทได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงด้านเครดิตในระดับสูง อย่างไรก็ตาม คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยหลังจาก KB Kookmin Card เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทริสเรทติ้งประเมินสถานะด้านความเสี่ยงของบริษัทอยู่ในระดับปานกลางจากการคาดการณ์ที่ว่าคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทจะยังคงแข็งแรง บริษัทมีสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตที่เกิดขึ้นใหม่ลดลงจำนวน 15 ล้านบาทในปี 2564 และมีสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตลดต่ำลงมาอยู่ที่ 190 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 จาก 241 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 โดยเมื่อรวมกับยอดสินเชื่อคงค้างที่ขยายตัวในระดับปานกลางแล้วส่งผลให้อัตราส่วนสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตลดลงมาอยู่ที่ 4.9% ณ สิ้นปี 2564 จาก 6.6% ณ สิ้นปี 2563 การปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของกระบวนการเร่งรัดติดตามหนี้สินยังคาดว่าจะช่วยรักษาคุณภาพสินทรัพย์ได้อีกทางหนึ่งด้วย
บริษัทมีแผนในระยะปานกลางที่จะมุ่งเน้นสินเชื่อส่วนบุคคลแบบไม่มีหลักประกันซึ่ง KB Kookmin Card มีความชำนาญและมีเครื่องมือสำหรับการดำเนินธุรกิจ นโยบายการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านเครดิตที่รัดกุมและเครื่องมือในการอนุมัติสินเชื่อที่แม่นยำจะช่วยให้บริษัทรักษาสมดุลระหว่างต้นทุนด้านเครดิตและอัตราดอกเบี้ยที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงด้านเครดิตได้ในอนาคต
เงินทุนและสภาพคล่องที่เพียงพอ
ทริสเรทติ้งประเมินสถานะเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัทในระดับปานกลางจากการสนับสนุนทางด้านการเงินอย่างต่อเนื่องจาก KB Kookmin Card ในรูปแบบของการค้ำประกันวงเงินสินเชื่อแม้ว่าบริษัทจะมีโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สินที่ไม่สอดคล้องกันในระดับหนึ่ง บริษัทพึ่งพาเงินกู้ยืมระยะสั้นเป็นแหล่งเงินทุนหลัก ณ สิ้นปี 2564 บริษัทมีเงินกู้ยืมระยะสั้นคิดเป็นสัดส่วน 83% ของหนี้สินรวมซึ่งส่งผลให้บริษัทได้รับผลกระทบจากความแตกต่างในระยะเวลาของสินทรัพย์และหนี้สินเนื่องจากยอดสินเชื่อคงค้างส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นสินเชื่อหมุนเวียนส่วนบุคคล ซึ่งทริสเรทติ้งมองว่ามีลักษณะเป็นสินเชื่อระยะยาวในทางปฏิบัติ อีกทั้ง ในช่วงปีที่ผ่านมาบริษัทยังได้ขยายธุรกิจไปสู่สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีทะเบียนรถและอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกันซึ่งมีระยะเวลายาวกว่าหนึ่งปีมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินจำนวน 3.7 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 นั้นเพียงพอที่จะสนับสนุนความต้องการเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัท
ยอดสินเชื่อผู้บริโภคจะค่อย ๆ ฟื้นตัวแต่ยังคงมีความท้าทาย
การทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของโรคโควิด 19 และจำนวนผู้ได้รับการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นในปี 2564 ธุรกิจสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคทั้งทางด้านบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลปรับตัวดีขึ้นอีกครั้ง สะท้อนได้จากอัตราการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ปรับเพิ่มขึ้น 1.7% ในปี 2564 จากที่ปรับตัวลดลง 11.7% ในปี 2563 ขณะที่ยอดคงค้างของสินเชื่อบุคคลปรับเพิ่มขึ้น 18% ในปี 2564 มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับการขยายระยะเวลาออกไป ช่วยให้คุณภาพสินเชื่อทั้งในส่วนของบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลทั้งระบบปรับตัวดีขึ้นในปี 2564 โดยอัตราส่วนสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (ค้างชำระเกิน 3 เดือน) สำหรับสินเชื่อบัตรเครดิตปรับลดลงเป็น 1.8% ในปี 2564 จาก 1.9% ในปี 2563 ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลปรับลดลงเป็น 3.1% ในปี 2564 จาก 3.4% ในปี 2563 อย่างไร
ก็ตาม ในระยะปานกลาง ทริสเรทติ้งมองว่าผลประกอบการทางการเงินของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมจะยังคงได้รับแรงกดดันจากสภาพแวดล้อมทางการแข่งขัน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่เรียกเก็บจากลูกหนี้และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การกระจายตัวไปยังธุรกิจอื่น ๆ เพื่อช่วยลดแรงกดดันจากการสร้างรายได้ ยังคงเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงและความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์การกำกับดูแลจากทางการ
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งสำหรับผลการดำเนินงานบริษัทในระหว่างปี 2565-2567 มีดังนี้
? ยอดสินเชื่อคงค้างจะเติบโตที่ระดับประมาณ 16%-20% ต่อปี
? ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจะคงอยู่ที่ระดับประมาณ 16%-17%
? อัตราส่วนสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตจะอยู่ที่ประมาณ 4%
? ต้นทุนด้านเครดิตจะอยู่ที่ประมาณ 11%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางธุรกิจ ตลอดจนผลประกอบการทางการเงิน และระดับภาระหนี้เอาไว้ได้ในขณะที่ยังรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากสถานะทางธุรกิจของบริษัทปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหนึ่งในขณะที่คุณภาพสินทรัพย์และฐานทุนยังคงแข็งแกร่ง ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากสถานะฐานทุนและภาระหนี้ของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญด้วยอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงในระดับต่ำกว่า 15%
นอกจากนี้ อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงหากสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของ KB Kookmin Card เปลี่ยนแปลงไป
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร, 17 กุมภาพันธ์ 2563
บริษัท เคบี เจ แคปปิตอล จำกัด (KBJ)
อันดับเครดิตองค์กร: A-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable