ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. ไฟฟ้าน้ำงึม 2” ที่ “A”, แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 24, 2022 17:29 —ทริส เรตติ้ง

อันดับเครดิตของบริษัทที่ระดับ ?A? อยู่บนพื้นฐานที่อันดับเครดิตเฉพาะ (Stand-alone Credit Profile -- SACP) ของบริษัทอยู่ในระดับ ?a? และจากมุมมองของทริสเรทติ้งที่เห็นว่าบริษัทมีสถานะเป็นบริษัทย่อยหลัก (Core Subsidiary) ของ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (CKP, ได้รับอันดับเครดิต ?A? แนวโน้ม ?Stable? หรือ ?คงที่? จากทริสเรทติ้ง) ในการนี้ บริษัทได้รับการคาดหมายว่าจะสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ให้แก่กลุ่มที่ระดับราว ๆ 60%-70%

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับผู้ซื้อที่มีความน่าเชื่อถือ

โรงไฟฟ้าพลังน้ำน้ำงึม 2 ของบริษัทนั้นตั้งอยู่ในเขตภาคกลางของ สปป.ลาว บนฝั่งแม่น้ำงึม โดยมีกำลังการผลิตที่ขนาด 615 เมกะวัตต์ แม้ว่าโรงไฟฟ้าของบริษัทจะมีที่ตั้งและดำเนินการอยู่ในประเทศที่มีความเสี่ยงสูง แต่อันดับเครดิตของบริษัทก็อยู่บนพื้นฐานการมีกระแสเงินสดที่มีความแน่นอนจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้านาน 25 ปีกับ กฟผ. ซึ่งความแข็งแกร่งด้านเครดิตของ กฟผ. บ่งบอกถึงการที่บริษัทมีความเสี่ยงจากคู่สัญญาที่อยู่ในระดับต่ำ

นอกจากนี้ สัญญาซื้อขายไฟฟ้า ที่อยู่บนพื้นฐานของการจ่ายค่าไฟฟ้าทั้งหมดซึ่งสามารถเรียกรับไฟฟ้าส่วนที่ขาดให้ครบได้ในภายหลัง (Take-or-Pay) นั้นยังช่วยบรรเทาความเสี่ยงด้านการตลาดของบริษัทได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ซึ่ง กฟผ. จะต้องรับซื้อไฟฟ้าจากบริษัทในปริมาณสูงสุดไม่เกิน 2,310 ล้านหน่วย (Gigawatt-hour -- GWh) ต่อปี ปริมาณไฟฟ้าเป้าหมายต่อปี ซึ่งจำแนกเป็นปริมาณไฟฟ้าหลัก จำนวน 2,218 ล้านหน่วยและปริมาณไฟฟ้ารอง จำนวน 92 ล้านหน่วย

นอกจากนี้ สัญญาสัมปทานที่บริษัทมีกับรัฐบาล สปป. ลาว ยังช่วยบรรเทาความเสี่ยงจากการโอนเงินและการแปลงสกุลเงินตราอีกด้วย โดยสัญญาสัมปทานให้สิทธิ์บริษัทในการรับรายได้และพักเงินในบัญชีเงินฝากที่อยู่นอก สปป. ลาว ดังนั้น รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าที่ได้รับจาก กฟผ. จึงใช้วิธีจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากของบริษัทในประเทศไทย

มีประวัติการดำเนินงานโรงไฟฟ้าที่ได้รับการยอมรับ

การดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังน้ำนั้นต้องการความเชี่ยวชาญในหลายด้าน ๆ เช่น การบริหารจัดการน้ำ การซ่อมบำรุง และการวางแผนการผลิต ในการนี้ บริษัทได้ทำสัญญาเดินเครื่องและบำรุงรักษากับ กฟผ. ตลอดอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โดย กฟผ. นั้นเป็นผู้มีความชำนาญและมีประสบการณ์ที่ยาวนานในการดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศไทย นอกจากนี้ บริษัทยังมอบหมายให้ กฟผ. ทำหน้าที่ให้บริการซ่อมบำรุงใหญ่ให้แก่บริษัทอีกด้วย

นับตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินงาน โรงไฟฟ้าของบริษัทมีค่าความพร้อมอยู่ในระดับที่สูงกว่า 94% มาโดยตลอดยกเว้นในช่วงปี 2561-2562 ที่ความพร้อมโรงไฟฟ้าของบริษัทอยู่ที่ระดับ 92%-93% เนื่องจากการหยุดซ่อมบำรุงตามวาระในปี 2561 และปัญหาปริมาณน้ำที่ไม่เพียงพอสำหรับการผลิตในปี 2562

ความไม่แน่นอนของทรัพยากรน้ำ

ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังน้ำนั้นขึ้นอยู่กับความพอเพียงของปริมาณน้ำเป็นหลักซึ่งอาจมีความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญในแต่ละปี ทั้งนี้ ความผันผวนของปริมาณน้ำที่อยู่ในระดับสูงจะส่งผลให้การผลิตไฟฟ้ามีความไม่แน่นอนและอาจทำให้รายได้ลดลงในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจส่งผลต่อความพอเพียงของกระแสเงินสดสำหรับค่าใช้จ่ายคงที่ในการดำเนินงาน นอกจากนี้ แม้ปริมาณน้ำสำรองในอ่างเก็บน้ำของบริษัทจะสามารถช่วยบรรเทาความผันผวนของปริมาณน้ำได้ในระยะสั้น แต่ภาวะภัยแล้งที่ยืดเยื้อก็อาจส่งผลให้บริษัทผลิตไฟฟ้าได้น้อยลงและทำให้มีรายได้ลดลงในช่วงดังกล่าว

โครงสร้างสัญญาช่วยบรรเทาความเสี่ยงหลัก ๆ ลงได้

สัญญาซื้อขายไฟฟ้ามีกลไกที่ช่วยบรรเทาความเสี่ยงจากปริมาณน้ำให้แก่บริษัทในแต่ละปี โดยเงื่อนไขในสัญญาจะอนุญาตให้บริษัทสามารถจำหน่ายไฟฟ้าได้มากเกินกว่าปริมาณเป้าหมายในปีที่มีน้ำมาก ในขณะที่ปีที่มีน้ำน้อยบริษัทจะได้รับเงินสดจากการนำไฟฟ้าที่ผลิตเกินกว่าเป้าหมายดังกล่าวมาใช้ และในกรณีที่บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าได้ต่ำกว่าปริมาณไฟฟ้าเป้าหมายต่อปี ปริมาณไฟฟ้าในส่วนที่ขาดนี้ก็สามารถนำไปทบกับปริมาณไฟฟ้าเป้าหมายของปีถัด ๆ ไปได้

นอกจากนี้ สำหรับกรณีที่ปริมาณน้ำมีไม่เพียงพอสำหรับการผลิตไฟฟ้าตามที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า บริษัทยังมีสิทธิ์ที่จะประกาศให้ปีนั้นเป็นปีแล้งสำหรับการดำเนินงานได้อีกด้วย ทั้งนี้ ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้านั้นบริษัทมีข้อผูกผันที่จะต้องดำรงความพร้อมจ่ายไฟฟ้าให้มีไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมงต่อวันในแต่ละเดือนและไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมงต่อวันในแต่ละปี การประกาศให้เป็นปีแล้งจะทำให้บริษัทไม่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญาได้ชั่วคราว ซึ่งบริษัทจะสามารถประกาศได้ 2 ครั้งตลอดระยะเวลาของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าซึ่งกินเวลานาน 25 ปี โดยบริษัทได้ประกาศปีแล้งครั้งแรกในปี 2563 แม้ว่าสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจะให้โอกาสแก่บริษัทในการประกาศให้เป็นปีแล้ง แต่หากบริษัทยังคงประสบกับภาวะความแห้งแล้งอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลาหลายปีก็อาจส่งผลกระทบในทางลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทได้เช่นกัน

แนวโน้มปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำที่มากขึ้น

แม้ว่าบริษัทจะประสบกับปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกันตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา แต่ปริมาณน้ำไหลเข้าก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นโดยมีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็น 3,934 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ในปี 2563 และ 4,301 ล้าน ลบ.ม. ในปี 2564 จากระดับต่ำสุดที่ 3,689 ล้าน ลบ.ม. ในปี 2562 อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ำไหลเข้าในปี 2564 ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยซึ่งอยู่ที่ระดับ 6,262 ล้าน ลบ.ม. ต่อปี (เฉลี่ยปี 2492-2564) การที่ระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำของบริษัทอยู่ที่ 361.1 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ณ สิ้นปี 2564 นั้นทำให้ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะดำเนินการผลิตไฟฟ้าอย่างระมัดระวังเพื่อที่จะบริหารจัดการระดับน้ำที่มีอยู่และยังสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้ในปี 2565

ผลการดำเนินงานเป็นไปตามที่คาดหมาย

หากไม่คำนึงถึงปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในปี 2564 ผลการดำเนินงานของบริษัทถือว่าเป็นไปตามที่ทริสเรทติ้งคาดหมายไว้ โดยบริษัทสามารถผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นรวม 101% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยอยู่ที่ระดับ 1,841 ล้านหน่วยซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการประกาศภัยแล้งในปี 2563 การผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในปี 2564 ของบริษัทประกอบด้วยปริมาณไฟฟ้าหลักจำนวน 1,743 ล้านหน่วย และปริมาณไฟฟ้ารองจำนวน 99 ล้านหน่วย ในการนี้ ปริมาณไฟฟ้าหลักบรรลุเป้าหมายที่ระดับประมาณ 79% ของปริมาณไฟฟ้าเป้าหมายต่อปีซึ่งสะท้อนถึงปริมาณน้ำไหลเข้าที่อยู่ในระดับต่ำโดยปริมาณน้ำไหลเข้านี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับโรงไฟฟ้าพลังน้ำ

ในปี 2564 EBITDA ของบริษัทเพิ่มขึ้น 111% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมาอยู่ที่ 2.9 พันล้านบาท ทั้งนี้ EBITDA ที่สูงขึ้นนั้นส่งผลทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทลดลงอย่างมากมาอยู่ที่ระดับ 3.8 เท่าจากระดับ 9.1 เท่าในปี 2563

ประมาณการกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งใช้ระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำของต้นปี 2565 และสมมติฐานอย่างระมัดระวังเกี่ยวกับปริมาณน้ำไหลเข้าเป็นพื้นฐานในการคาดการณ์ โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะผลิตไฟฟ้าได้ที่ประมาณ 1,600-1,650 ล้านหน่วยในปี 2565 ซึ่งจะคิดเป็น EBITDA ที่ระดับประมาณ 2.3-2.5 พันล้านบาท ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จะอยู่ที่ระดับประมาณ 3.7-4.0 เท่าในปี 2565 ส่วนในปี 2566-2567 นั้น ทริสเรทติ้งคาดว่าปริมาณน้ำไหลเข้าจะฟื้นตัวมาใกล้เคียงระดับค่าเฉลี่ย ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดการณ์ว่า EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3.0-3.2 พันล้านบาทต่อปี จากสมมติฐานที่บริษัทจะผลิตไฟฟ้าได้ที่ประมาณ 2,000 ล้านหน่วยต่อปี นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะชำระคืนหนี้หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2565-2567 รวมเป็นเงินจำนวน 3.1 พันล้านบาทซึ่งจะส่งผลทำให้ระดับหนี้สินค่อย ๆ ลดลงและอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 1.8-2.0 เท่าในปี 2567

โครงสร้างเงินทุนคาดว่าจะดีขึ้น

ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นโดยจะลดลงไปสู่ระดับที่ต่ำกว่า 40% ในปี 2567 และคาดว่าบริษัทจะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ใด ๆ ในอนาคตอันใกล้นี้นอกจากการซ่อมบำรุงตามแผนงานเท่านั้น ทั้งนี้ การลงทุนครั้งล่าสุดของบริษัทคือการขยายสถานีไฟฟ้าย่อยนาบงซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จไปในปี 2561 ด้วยเงินลงทุนทั้งสิ้น 3.12 พันล้านบาท โดย ณ สิ้นปี 2564 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่จำนวน 1.09 หมื่นล้านบาทและมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ระดับ 51.2%

มีเงินสดเพียงพอสำหรับภาระหนี้ระยะสั้น

บริษัทยังคงมีนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังในการสำรองเงินสดอย่างน้อย 1 พันล้านบาทสำหรับการชำระคืนหนี้เงินกู้ในงวดถัด ๆ ไป นอกจากนี้ บริษัทยังพยายามที่จะคงเงินสดเอาไว้ไม่ต่ำกว่าประมาณ 700 ล้านบาทสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินงานในระยะเวลาประมาณ 12 เดือนข้างหน้าอีกด้วย

บริษัทได้ชำระหนี้หุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนจำนวน 500 ล้านบาทไปแล้วในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2565 ที่ผ่านมา ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะบริหารจัดการสภาพคล่องอย่างระมัดระวังตลอดช่วงเวลาประมาณการ โดยทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ระดับประมาณ 1.8-2.0 พันล้านบาทในปี 2565 ในขณะที่บริษัทมีเงินสดในมือจำนวน 1.6 พันล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2564 หลังจากหักชำระคืนหนี้หุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนแล้ว โดยที่เงินสดในมือเมื่อรวมกับประมาณการเงินทุนจากการดำเนินงานแล้วน่าจะมีเพียงพอสำหรับการชำระคืนหนี้หุ้นกู้มูลค่าประมาณ 1.2 พันล้านบาทในปี 2566 ได้

โครงสร้างหนี้

ณ สิ้นปี 2564 หนี้สินของบริษัทจำนวน 1.29 หมื่นล้านบาทเป็นหนี้หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันทั้งหมด ดังนั้น บริษัทจึงไม่มีหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน (Priority Debt) แต่อย่างใด

อันดับเครดิตมาจากสถานะของกลุ่ม

บริษัทมีฐานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ซีเค พาวเวอร์ โดยบริษัท ซีเค พาวเวอร์ มีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทจำนวน 46% และมีการควบคุมทั้งในด้านการดำเนินธุรกิจและการเงินของบริษัทโดยตรง ทั้งนี้ โดยปกติแล้วบริษัทจะสร้าง EBITDA ให้แก่การลงทุนด้านไฟฟ้าทั้งหมดของบริษัท ซีเค พาวเวอร์ ที่ระดับประมาณ 60%-70% ดังนั้น ในฐานะที่เป็นผู้สร้างรายได้จำนวนมากให้แก่กลุ่ม ทริสเรทติ้งจึงถือว่าบริษัทมีสถานะเป็นบริษัทย่อยหลักของกลุ่ม ดังนั้น อันดับเครดิตของบริษัทจึงเท่ากับอันดับเครดิตของบริษัท ซีเค พาวเวอร์ ซึ่งเป็นไปตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ? (Group Rating Methodology) ของทริสเรทติ้ง

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? ปริมาณไฟฟ้าที่จำหน่ายให้แก่ กฟผ. คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,600-1,650 ล้านหน่วยในปี 2565 และ 2,000 ล้านหน่วยต่อปีในระหว่างปี 2566-2567

? ค่าความพร้อมของโรงไฟฟ้าในระหว่างปี 2565-2567 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับเกินกว่า 96%

? อัตราค่าไฟฟ้าที่จะได้รับเป็นไปตามเงื่อนไขของสัญญาซื้อขายไฟฟ้า

? ค่าใช้จ่ายดำเนินงานและซ่อมบำรุงคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 3% ต่อปีในช่วงปี 2565-2567

? ในช่วงปี 2565-2567 บริษัทจะชำระหนี้หุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอน

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะได้รับกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากโรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องต่อไปและปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำจะอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยในระยะเวลายาว ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงบริหารจัดการการดำเนินงานโรงไฟฟ้าและปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถบรรลุปริมาณไฟฟ้าเป้าหมายต่อปีได้ตลอดระยะเวลาที่เหลือของสัญญาซื้อขายไฟฟ้า

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีจำกัดในระยะเวลา 12-18 เดือนข้างหน้า ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งได้ประมาณการไว้และส่งผลให้กระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ที่เสื่อมถอยลงอย่างมีสาระสำคัญ ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจเกิดจากการมีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำที่อยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ? ของทริสเรทติ้ง การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ของอันดับเครดิตของบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จะมีผลกระทบโดยตรงต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

บริษัท ไฟฟ้าน้ำงึม 2 จำกัด (NN2PC)

อันดับเครดิตองค์กร: A

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

NNPC233A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A

NNPC239A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A

NNPC24OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A

NNPC253A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A

NNPC259A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A

NNPC273A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A

NNPC27OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A

NNPC303A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 A

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ