ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “ธ. เกียรตินาคินภัทร” ที่ “A” หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ที่ “BBB+” และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 1

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday April 8, 2022 14:33 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A? รวมทั้งอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ของธนาคารที่ระดับ ?BBB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? ขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท อายุไม่เกิน 3 ปี ภายใต้โครงการ Medium-Term Notes Program (MTN) ของธนาคารที่ระดับ ?A? ด้วย อันดับเครดิตสะท้อนถึงการมีแหล่งรายได้ที่หลากหลาย ตลอดจนเงินกองทุนที่เพียงพอซึ่งได้รับแรงหนุนจากความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง และคุณภาพสินทรัพย์ที่สามารถจัดการได้

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ธุรกิจธนาคารเข้มแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การประเมินสถานะทางธุรกิจของธนาคารเกียรตินาคินภัทร สะท้อนถึงธุรกิจธนาคารที่มีความเข้มแข็งขึ้น และการมีตำแหน่งทางการตลาดที่ดีในธุรกิจวาณิชธนกิจและธุรกิจบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคล ทริสเรทติ้งเชื่อว่าธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของธนาคารเกียรตินาคินภัทรจะยังคงแข็งแกร่งขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นระหว่างธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธุรกิจตลาดทุนที่แข็งแกร่งของธนาคาร ความร่วมมือที่สำคัญประกอบด้วย การให้บริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมด้านธนาคารและตลาดทุน การให้บริการบัญชีเงินฝากของธนาคารเกียรตินาคินภัทรแก่ลูกค้าในกลุ่มธุรกิจบริหารความมั่งคั่งของบริษัทหลักทรัพย์ของกลุ่ม (บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร) เพื่อใช้ในการทำธุรกรรมการลงทุน และการแนะนำลูกค้าภายในกลุ่ม

ทริสเรทติ้งคาดว่าธนาคารจะยังคงสามารถขยายธุรกิจการให้สินเชื่อกับลูกค้ารายย่อยอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยอาศัยแรงหนุนจากสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อที่อยู่อาศัย ในปี 2564 สินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารเติบโตขึ้น 22.3% และ 40.5% ตามลำดับ การเติบโตของสินเชื่อรถยนต์เนื่องมาจากการเน้นแบรนด์ที่มียอดขายสูงและกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีสถานะทางเครดิตที่ยอมรับได้ ธุรกิจสินเชื่อเพื่อรายย่อยที่เติบโตขึ้นของธนาคารเป็นพัฒนาการในเชิงบวก เนื่องจากเป็นการสร้างโอกาสที่ดีสำหรับการนำเสนอผลิตภัณฑ์อื่นๆในอนาคต

แหล่งรายได้ที่มีความหลากหลายช่วยให้กำไรเติบโต

ในมุมมองของทริสเรทติ้ง ธนาคารได้แสดงให้เห็นถึงผลประกอบการที่ค่อนข้างเสถียรท่ามกลางการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง กำไรของธนาคารในปี 2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับก่อนเกิดโรคโควิด 19 ในปี 2562 ในขณะที่กำไรของธนาคารพาณิชย์ไทยส่วนใหญ่ยังคงต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโรคโควิด 19 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากแหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลายและการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานที่ทำได้ค่อนข้างดี ธุรกิจด้านธนาคารของธนาคารเกียรตินาคินภัทรคิดเป็นประมาณ 60% ของรายได้รวมของธนาคารในปี 2564 ตามมาด้วยธุรกิจตลาดทุน (29%) และธุรกิจบริหารหนี้เสีย (11%) แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแหล่งรายได้ที่หลากหลายของธนาคารเกียรตินาคินภัทร ซึ่งช่วยประคับประคองธนาคารได้ดีในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ

เงินกองทุนอยู่ในระดับเพียงพอ

ทริสเรทติ้งประเมินสถานะเงินกองทุนของธนาคารเกียรตินาคินภัทรอยู่ในระดับเพียงพอ โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของที่คาดการณ์ไว้อยู่ในช่วง 13.3%-13.5% ในช่วงปี 2565-2567 ประมาณการของทริสเรทติ้งมาจากสมมติฐานการเติบโตของสินเชื่อที่ 10%-12% ต่อปีในปี 2565-2567 โดยมีแรงหนุนจากสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลัก และอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 40% ในปี 2565-2567 อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ระดับ 13.62% ต่ำกว่า ณ สิ้นปี 2563 ที่ระดับ 14.33% เล็กน้อย ในขณะเดียวกันเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของคิดเป็น 78.5% ของเงินกองทุนทั้งหมด ซึ่งบ่งชี้ถึงคุณภาพของเงินกองทุนของธนาคารซึ่งอยู่ในระดับปานกลาง

ยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรในระดับแข็งแกร่ง

ความสามารถในการทำกำไรของธนาคารเกียรตินาคินภัทรยังคงเป็นจุดแข็งของอันดับเครดิตของธนาคาร อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของธนาคารเพิ่มขึ้นเป็นระดับ 1.59% ในปี 2564 จากระดับ 1.52% ในปี 2563 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 0.81% ในช่วงเวลาเดียวกัน ความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งของธนาคารเป็นผลมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจตลาดทุน และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่มีการควบคุมอย่างดี ทริสเรทติ้งคาดว่าธนาคารเกียรตินาคินภัทรจะรักษาความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของธนาคารที่คาดการณ์อยู่ในช่วง 1.34%-1.64% ในปี 2565-2567 ถึงแม้ว่าอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิจะลดลงเนื่องจากต้นทุนด้านการเงินที่ปรับเพิ่มขึ้น

คุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอลงแต่อยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้

สถานะด้านความเสี่ยงของธนาคารยังคงอยู่ในระดับเพียงพอ เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์ยังอยู๋ในระดับที่สามารถจัดการได้ อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (ไม่รวมเงินลงทุนในสิทธิเรียกร้อง หรือสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ) ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 3.1% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 2.9% ณ สิ้นปี 2563 การเพิ่มขึ้นดังกล่าวสอดคล้องกับการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าคุณภาพสินทรัพย์น่าจะด้อยลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปหลังจากมาตรการบรรเทาหนี้สิ้นสุดลง ในอนาคต ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (ไม่รวมเงินลงทุนในสิทธิเรียกร้อง หรือสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ) ของธนาคารอาจปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่คาดว่าจะอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้

ณ สิ้นปี 2564 สินเชื่อของธนาคารเกียรตินาคินภัทรที่อยู่ภายใต้มาตรการบรรเทาหนี้อยู่ที่ประมาณ 11% ของสินเชื่อทั้งหมด ค่อนข้างคงที่เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2563 และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 14% ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ยังอยู่ในมาตรการบรรเทาหนี้ เป็นกลุ่มสินเชื่อรถยนต์และกลุ่มสินเชื่อเชิงพาณิชย์ โดยกลุ่มสินเชื่อเชิงพาณิชย์ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่มีอพาร์ทเมนต์และโรงแรมเป็นหลักประกัน ซึ่งแม้จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการระบาดของโรคโควิด 19 แต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ เนื่องจากอัตราส่วนการให้สินเชื่อเทียบกับมูลค่าหลักประกันโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 50% ทริสเรทติ้งคาดว่าธนาคารจะยังคงเสนอการปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาวแบบเบ็ดเสร็จให้กับลูกค้าในกลุ่มนี้ที่ยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เพื่อให้สอดคล้องกับการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

ทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าธนาคารเกียรตินาคินภัทรมีเงินกันสำรองเพียงพอในการรองรับการสูญเสียด้านเครดิตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ณ สิ้นปี 2564 อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคารอยู่ที่ระดับ 175% ค่อนข้างคงที่และใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 162.6% การตั้งสำรองของธนาคารในอีก 2-3 ปีข้างหน้าน่าจะค่อยๆลดระดับลงจากปี 2564 แต่น่าจะเพียงพอที่จะรองรับการด้อยลงต่อเนื่องของคุณภาพสินทรัพย์

สัดส่วนโครงสร้างเงินฝากดีขึ้นเนื่องจากสัดส่วนเงินฝากที่มีคุณภาพ

ธนาคารเกียรตินาคินภัทรมีพัฒนาการในเชิงบวกของโครงสร้างเงินฝากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและคาดว่าจะพัฒนาต่อเนื่อง สัดส่วนของบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและออมทรัพย์ (Current Account and Savings Account ? CASA) ต่อเงินฝากทั้งหมด เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญสู่ระดับ 59% ณ สิ้นปี 2564 จาก 53% ณ สิ้นปี 2563 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในกลุ่มธนาคารขนาดเล็กด้วยกัน พัฒนาการดังกล่าวเกิดจากการนำเสนอบัญชีเงินฝากเพื่อชำระธุรกรรมการลงทุน (KKP Smart Settlement -- KKPSS) ให้กับลูกค้าในกลุ่มธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง บัญชีเงินฝากสำหรับองค์กร และบัญชีเงินฝากออมทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์

ธนาคารสามารถระดมเงินฝากได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลงโดยไม่มีความจำเป็นต้องขยายสาขาธนาคาร เนื่องจากความร่วมมือระหว่างธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธุรกิจตลาดทุนของธนาคาร ต้นทุนเงินฝากของธนาคารอยู่ที่ระดับ 1.16% ในปี 2564 ลดลงจากระดับ 1.8% ในปี 2563 และแม้ว่าต้นทุนเงินฝากในปี 2564 จะยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 0.73% ส่วนต่างดังกล่าวค่อย ๆ ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0.43% ในปี 2564 จากระดับ 1.14% ในปี 2559 ถึงแม้ว่าทริสเรทติ้งจะมีมุมมองเรื่องการขยายฐานเงินฝากและการลดส่วนต่างของต้นทุนเงินฝากในเชิงบวก แต่สถานะทางด้านเงินทุนยังถูกจำกัดด้วยการกระจุกตัวของเงินฝาก เนื่องจากผู้ฝากเพื่อการชำระเงินของธนาคารส่วนใหญ่เป็นลูกค้าในกลุ่มธุรกิจบริหารความมั่งคั่งของธนาคาร

สภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอ

ทริสเรทติ้งมองว่าสถานะสภาพคล่องของธนาคารเกียรตินาคินภัทรอยู่ในระดับเพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ณ สิ้นปี 2564 อัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องต่อสินทรัพย์รวมคิดเป็น 31.4% ของเงินฝากทั้งหมด เพียงพอและสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 20% อัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤติ (Liquidity Coverage Ratio -- LCR) ของธนาคารอยู่ที่ 115.3% ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ แต่ยังคงอ่อนแอกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 186.7% ตามรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

ต่อไปนี้คือสมมติฐานที่ทริสเรตติ้งคาดการณ์สำหรับผลการดำเนินงานของธนาคารเกียรตินาคินภัทร ในระหว่างปี 2565-2567

? อัตราการเติบโตของสินเชื่อ: 10%-12%

? อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ: 3.62%-4.05%

? อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวม: 39.5%-42.4%

? ต้นทุนทางเครดิต: 1.45%-2.1%

? อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (ไม่รวมเงินลงทุนในสิทธิเรียกร้องและสินทรัพย์ระหว่างธนาคาร): 3.35%-3.67%

? อัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ: 13.27%-13.52% (ไม่รวมการปรับมูลค่าสินทรัพย์ตามที่ธนาคารวางแผนไว้)

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าธนาคารเกียรตินาคินภัทรจะยังคงรักษาสถานะเงินกองทุนของธนาคารให้อยู่ในระดับเพียงพอ และรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ตลอดจนเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการผสานพลังกับธุรกิจตลาดทุนและธุรกิจบริหารความมั่งคั่งให้มากขึ้นเพื่อรักษาผลการดำเนินงานทางการเงินที่ดีและการกระจายตัวของรายได้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับสูงขึ้นได้หาก หากธนาคารเกียรตินาคินภัทรเสริมความแข็งแกร่งของสถานะเงินทุนอย่างมีนัยสำคัญด้วยอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของมากกว่า 15% เป็นระยะเวลาหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็ยังคงพัฒนาคุณภาพสินทรัพย์และธุรกิจธนาคารอย่างต่อเนื่อง ทริสเรทติ้งอาจปรับลดอันดับเครดิตลงหากเงินทุน คุณภาพของสินทรัพย์ และ/หรือความสามารถในการทำกำไรลดลงอย่างเห็นได้ชัด

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารทางการเงินที่นับเป็นเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์, 24 ธันวาคม 2564

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

- Banks Rating Methodology, 3 มีนาคม 2563

ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (KKP)
อันดับเครดิตองค์กร: A
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
KKP30NA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ตามหลักเกณฑ์ Basel III 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573                                               	BBB+
KKP314A: หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ตามหลักเกณฑ์ Basel III 2,852 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574                                              	BBB+
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 10,000 ล้านบาท อายุไม่เกิน 3 ปี ภายใต้โครงการ Medium-Term Notes Program 	A
แนวโน้มอันดับเครดิต:	Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ