ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 5 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ ?BBB+? ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่นี้ไปใช้ชำระคืนหนี้และขยายพอร์ตสินเชื่อ
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน (Auto Title Loan) และฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งของบริษัท อีกทั้งยังสะท้อนถึงกำไรที่ดี คุณภาพสินทรัพย์ที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพ ตลอดจนแหล่งเงินทุนที่หลากหลายและสภาพคล่องที่เพียงพอของบริษัทด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอและการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงในธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงดำรงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันต่อไปได้ในช่วงระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า โดยทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถต่อยอดความชำนาญในธุรกิจดังกล่าวรวมทั้งขยายเครือข่ายสาขาและฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 บริษัทมียอดสินเชื่อคงค้างที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงระดับ 30% จากสิ้นปีก่อนหน้า โดยอยู่ที่จำนวน 9.18 หมื่นล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดสินเชื่อใหม่ของบริษัทจะเติบโตที่ระดับ 10%-20% ต่อปีในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันซึ่งยังคงมีอุปสงค์ที่ดีจากผลของภาวะสภาพคล่องที่ตึงตัวอันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ทริสเรทติ้งยังคาดหวังด้วยว่าการขยายสู่ธุรกิจใหม่คือการให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของยอดสินเชื่อและอัตราดอกเบี้ยรับของบริษัทได้ในระยะยาวท่ามกลางการแข่งขันที่ทวีความรุนแรง
ทริสเรทติ้งคาดว่าคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทอาจอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากผลของเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม คุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนตัวลงนั้นคาดว่าจะอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้และจะมีผลกระทบต่อสถานะความเสี่ยงของบริษัทในขอบเขตที่จำกัด โดยนโยบายการให้สินเชื่อที่เข้มงวดและกระบวนการจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพน่าจะช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมผลขาดทุนด้านเครดิตที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงเชื่อว่าบริษัทจะสามารถรักษาเป้าหมายที่จะคงอัตราส่วนลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต หรือลูกหนี้ชั้นที่ 3 (NPL) ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ที่ระดับต่ำกว่า 2% เอาไว้ได้ โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 1.4% ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 1.1% ณ สิ้นปี 2563 บริษัทมีค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอยู่ที่ระดับ 0.92% ในปี 2564 และอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPL Coverage) ของบริษัท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 144% ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 1.1%-1.2% ของสินเชื่อถัวเฉลี่ยในระหว่างปี 2565-2566 และ NPL Coverage ของบริษัทน่าจะคงอยู่ที่ระดับประมาณ 160%-170% ในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาคุณภาพการสร้างกำไรต่อไปได้ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ในปี 2564 อัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ย (EBT/ARWA Ratio) ของบริษัทลดลงอยู่ที่ระดับ 6.2% จาก 8.5% ในปี 2563 โดยบริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4.95 พันล้านบาทซึ่งลดลง 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยกำไรสุทธิที่ปรับลดลงนั้นมีสาเหตุหลักมาจากการมีค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทน่าจะยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรเอาไว้ได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าด้วยการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพถึงแม้ว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงในกลุ่มสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันซึ่งส่งผลให้อัตราผลตอบแทนลดลงก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าการขยายสู่ธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่จะช่วยสนับสนุนความสามารถในการทำกำไรของบริษัทได้ โดยทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราดอกเบี้ยรับของบริษัทจะยังคงอยู่ที่ระดับ 19% ในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้าจาก 18.7% ในปี 2564
สถานะแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องที่เพียงพอของบริษัทนั้นมีปัจจัยสนับสนุนมาจากการที่บริษัทมีความสามารถในการเข้าถึงตลาดตราสารหนี้และตลาดตราสารทุนรวมถึงมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินหลายแห่งซึ่งแสดงถึงการมีช่องทางในการระดมทุนที่หลากหลาย โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 บริษัทมีวงเงินสินเชื่อพร้อมเบิกใช้จากสถาบันการเงินต่าง ๆ จำนวนทั้งสิ้น 3.95 พันล้านบาท
ทริสเรทติ้งคาดว่าโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะคงความแข็งแกร่งต่อไปโดยประมาณการว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยง (RAC Ratio) อยู่ในช่วง 23.6%-24.8% ในระหว่างปี 2565-2566 ทั้งนี้ ความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งและนโยบายการจ่ายเงินปันผลในระดับต่ำน่าจะช่วยสนับสนุนการสะสมฐานทุนของบริษัทได้ อีกทั้งทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขสำคัญทางการเงินที่ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) ไว้ไม่เกิน 4.5 เท่าได้ ซึ่ง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงและอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับ 23% และ 3 เท่าตามลำดับ
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดในธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันเอาไว้ต่อไปได้ รวมทั้งบริษัทจะมีความสามารถในการทำกำไรที่ยังคงแข็งแกร่งในขณะที่ยังคงสามารถควบคุมคุณภาพสินเชื่อและรักษาอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้อีกด้วย
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากผลประกอบการทางการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่งโดยมีอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยอยู่ในระดับสูงกว่า 8% และอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงอยู่ในระดับที่สูงกว่า 25% อย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทเสื่อมถอยลงอย่างมีนัยสำคัญหรือส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยลดลงมากกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร, 17 กุมภาพันธ์ 2563
บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (MTC)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
MTC227B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,043.30 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 BBB+
MTC22NB: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,349.70 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 BBB+
MTC22NC: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,163.40 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 BBB+
MTC232C: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,514 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
MTC237A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,756.70 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
MTC23NB: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,319.20 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
MTC23NC: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,836.60 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
MTC243B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,486 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
MTC248A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,641.80 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
MTC24NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,609 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
MTC252A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,902 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
MTC258A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,361.80 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
MTC25NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,598 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
MTC262A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,391 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
MTC268A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 996.40 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+
MTC26NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+
MTC272A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 BBB+
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 5 ปี BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable