ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชนิดทยอยชำระคืนเงินต้นของ บริษัท บี. กริม บีไอพี เพาเวอร์ 2 จำกัด ที่ระดับ ?A-? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลกำไรที่คาดการณ์ได้ในระดับสูงของบริษัทจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตลอดจนเทคโนโลยีที่พิสูจน์แล้วในเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมและประวัติผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัท ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตดังกล่าวก็มีข้อจำกัดจากความเสี่ยงที่บริษัทมีการพึ่งพาสินทรัพย์ที่เป็นโรงไฟฟ้าเพียงแห่งเดียวด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทยังเป็นผลมาจากอันดับเครดิตเฉพาะ (Stand-alone Credit Profile -- SACP) ของบริษัทซึ่งอยู่ที่ระดับ ?a-? และสถานะของบริษัทซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของ บริษัท บี. กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BGRIM) (ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ ?A/Stable? โดยทริสเรทติ้ง) อีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีผลกำไรที่เชื่อถือได้จากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ กฟผ.
บริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงจำนวน 1 แห่งซึ่งเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2559 โดยบริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวนาน 25 ปีกับ กฟผ. ที่ขนาด 90 เมกะวัตต์ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer -- SPP)
ทั้งนี้ สัญญาซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าวซึ่งอยู่ภายใต้รูปแบบไม่ใช้ก็ต้องจ่าย (Take-or-pay Basis) นั้นช่วยลดความเสี่ยงด้านการตลาดให้แก่บริษัทได้เป็นส่วนใหญ่ ในการนี้ กฟผ. มีข้อผูกพันในการรับซื้อไฟฟ้าอย่างน้อยในสัดส่วน 80% ของกำลังการผลิตตามสัญญาโดยขึ้นอยู่กับชั่วโมงการทำงานของโรงไฟฟ้า ในขณะที่บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 82%-86% ของยอดขายทั้งหมดต่อปี ทั้งนี้ คุณภาพเครดิตของ กฟผ. (ได้รับอันดับเครดิต ?AAA/Stable? จาก
ทริสเรทติ้ง) บ่งบอกถึงการที่บริษัทมีความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระเงินจากผู้ซื้อไฟฟ้าในระดับที่น้อยมาก
รายได้ที่แน่นอนของบริษัทยังมีปัจจัยสนับสนุนจากรายได้ค่าพลังไฟฟ้า (Capacity Payment) อีกด้วย นอกจากนี้ ผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรายังบรรเทาลงจากการปรับปรุงอัตราค่าไฟฟ้าที่อ้างอิงตามดัชนีอีกเช่นกัน
มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม
บริษัทยังจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 8 รายในสวนอุตสาหกรรมบางกะดี (สวนฯ บางกะดี) โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าขนาด 24 เมกะวัตต์ ในการนี้ ลูกค้าแต่ละรายมีข้อผูกพันในการซื้อไฟฟ้าจำนวนขั้นต่ำตามที่กำหนดไว้ในสัญญาและบริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าดังกล่าวในราคาที่มีส่วนลดจากราคาที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จำหน่ายให้แก่ลูกค้าประเภทกิจการขนาดใหญ่ โดยทั่วไปแล้วจะมีการปรับราคาจำหน่ายไฟฟ้าเพื่อสะท้อนต้นทุนเชื้อเพลิงที่เปลี่ยนแปลงผ่านค่าปรับปรุงเชื้อเพลิงหรือค่า Ft (Fuel Adjustment Charge) อย่างไรก็ตาม การปรับค่า Ft นั้นมักจะล่าช้ากว่า อีกทั้งระยะเวลาและจำนวนที่ปรับนั้นก็ยังขึ้นอยู่กับดุลพินิจของหน่วยงานที่รับผิดชอบอีกด้วย ดังนั้น ในกรณีที่ค่าเชื้อเพลิงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็อาจมีผลกระทบในทางลบต่อผลกำไรของบริษัท นอกจากนี้ ยอดขายไฟฟ้ายังขึ้นอยู่กับอุปสงค์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนโดยระดับของกิจกรรมทางด้านอุตสาหกรรมอีกด้วย
เทคโนโลยีที่พิสูจน์แล้วในเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม
โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมของบริษัทเป็นโรงไฟฟ้าที่มีการทำงานร่วมกันของระบบกังหันก๊าซและระบบกังหันไอน้ำ (Combined-cycle) โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว ระบบดังกล่าวใช้เครื่องยนต์กังหันก๊าซ 2 ชุดที่ผลิตโดย GE Power ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำที่เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าในตลาดโลก ทั้งนี้ กังหันก๊าซ GE-LM6000PD ที่ผลิตโดย GE Power มีผลการดำเนินงานที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ซึ่ง GE Power ได้ผลิตและจำหน่ายกังหันก๊าซรุ่นนี้ไปแล้วกว่า 1,000 ชุดและมีชั่วโมงการทำงานมากกว่า 2 ล้านชั่วโมง ในส่วนของโรงไฟฟ้าของบริษัทนั้นประกอบด้วยหน่วยผลิตไฟฟ้ากังหันก๊าซจำนวน 2 ชุด ชุดกำเนิดไอน้ำ (Heat Recovery Steam Generator -- HRSG) จำนวน 2 ชุด และหน่วยผลิตไฟฟ้ากังหันไอน้ำซึ่งผลิตโดย Siemens อีกจำนวน 1 ชุด
มีประวัติการดำเนินงานที่เข้มแข็ง
บริษัทมีทีมดำเนินงานและซ่อมบำรุงประจำวันของตนเอง โดยทีมงานได้รับการฝึกอบรมจาก BGRIM ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานและซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ส่วนโรงไฟฟ้าของบริษัทก็มีผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ามาโดยตลอดนับตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินงาน โดยในปี 2564 โรงไฟฟ้าของบริษัทมีดัชนีความพร้อมที่ระดับ 98.3% และมีอัตราความร้อนที่ขนาด 7,785 บีทียูต่อหน่วยซึ่งดีกว่าอัตราความร้อนอ้างอิงตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีกับ กฟผ. ที่ขนาด 7,950 บีทียูต่อหน่วย
ส่วนในด้านของประสิทธิภาพการใช้พลังงานนั้น โรงไฟฟ้าของบริษัทบรรลุดัชนีชี้วัดความสามารถในการใช้พลังงานปฐมภูมิในการผลิตพลังงานไฟฟ้าและพลังงานความร้อนร่วมกัน (Primary Energy Saving -- PES) รวมทั้งได้รับค่าไฟฟ้าเพิ่มเติมจากค่าการประหยัดการใช้เชื้อเพลิง (Fuel Saving -- FS) ที่อัตรา 0.36 บาทต่อหน่วยจาก กฟผ. ซึ่งทริสเรทติ้งเห็นว่าความเสี่ยงที่โรงไฟฟ้าของบริษัทจะถูกปรับหรือยกเลิกสัญญานั้นมีต่ำมาก
แรงกดดันจากราคาก๊าซที่พุ่งสูงขึ้น
บริษัทมีรายได้และผลกำไรที่มั่นคงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมีความเห็นว่าการเพิ่มขึ้นอย่างมากของราคาก๊าซจะมีผลกระทบต่อกำไรของบริษัทในปี 2565 ทั้งนี้ อุปสงค์ไฟฟ้าที่กลับคืนมาและความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างรัสเซียและยูเครนได้ส่งผลทำให้ราคาก๊าซยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 จนทำสถิติสูงสุดที่ระดับเกินกว่า 400 บาทต่อล้านบีทียูในไตรมาสแรกของปี 2565 ทั้งนี้ ภายใต้ประมาณการกรณีฐานทริสเรทติ้งคาดว่าราคาก๊าซจะยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อไปในปี 2565 และจะค่อย ๆ ลดลงสู่ระดับปกติตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป แม้ว่าในประมาณการนั้นทริสเรทติ้งคาดว่าค่า Ft จะถูกปรับเพิ่มขึ้น แต่การปรับดังกล่าวอาจไม่สอดคล้องกับราคาก๊าซที่เพิ่มขึ้นเท่าใดนัก
ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงประมาณการว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทจะลดลงเหลือ 430 ล้านบาทในปี 2565 จาก 636 ล้านบาทในปี 2564 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จะเพิ่มขึ้นที่ระดับประมาณ 5 เท่าในปี 2565 จากระดับ 3.5 เท่าในปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม จากสมมุติฐานที่ราคาก๊าซจะค่อย ๆ กลับมาอยู่ในระดับปกติ ทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะกลับมาอยู่ที่ระดับ 530-600 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2566-2568 และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA น่าจะลดลงไปอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 3 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน
มีสินทรัพย์ดำเนินงานเพียงแห่งเดียว
อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากการที่บริษัทมีสินทรัพย์ดำเนินงานเพียงแห่งดียว ดังนั้น บริษัทจึงมีความเสี่ยงทางธุรกิจที่ค่อนข้างสูงกว่าบริษัทผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มีสินทรัพย์ที่ใช้ผลิตไฟฟ้าหลายแห่ง การที่บริษัทขาดความหลากหลายในการดำเนินงานจึงอาจทำให้รายได้ของบริษัทมีความเสี่ยงจากการที่โรงไฟฟ้าหยุดดำเนินงานอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงที่สำคัญ ๆ เช่น การหยุดเดินเครื่องโรงไฟฟ้าเป็นเวลานานหรือชิ้นส่วนสำคัญของเครื่องจักรเกิดความเสียหาย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นมีค่อนข้างยากเมื่อพิจารณาจากประวัติการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัท
ความสามารถในการชำระหนี้อยู่ในระดับเพียงพอ
ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะสามารถสร้างกระแสเงินสดที่เพียงพอต่อการชำระคืนหนี้ได้ ทั้งนี้ ในเดือนพฤษภาคม 2561 บริษัทได้ออกหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชนิดทยอยชำระคืนเงินต้นในวงเงิน 3.35 พันล้านบาทโดยได้นำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปจ่ายชำระคืนหนี้เงินกู้โครงการทั้งหมดที่มีกับสถาบันการเงินต่าง ๆ ซึ่งในตารางการชำระคืนเงินต้นของหุ้นกู้นั้นมีการกำหนดให้สอดคล้องกับกระแสเงินสดที่บริษัทได้รับจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีอยู่
ณ เดือนธันวาคม 2564 บริษัทมีเงินสดในมือและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 638 ล้านบาท ทั้งนี้ เงินสดในมือและรายการเทียบเท่าเงินสดที่มีอยู่เมื่อรวมกับประมาณการ EBITDA แล้วน่าจะเพียงพอรองรับภาระหนี้เงินกู้ของบริษัทจำนวน 279-348 ล้านบาทต่อปีที่จะครบกำหนดในช่วงระหว่างปี 2565-2568
เป็นบริษัทย่อยเชิงกลยุทธ์ภายใต้กลุ่ม BGRIM
โรงไฟฟ้าของบริษัทเป็น 1 ในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมจำนวนทั้งสิ้น 21 แห่งซึ่งอยู่ภายใต้กลุ่ม BGRIM ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2564 กำลังการผลิตติดตั้งของบริษัทคิดเป็น 5% ของกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงทั้งหมดของ BGRIM ส่วนในด้านของกระแสเงินสดนั้น EBITDA ของบริษัทคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 5% ของ EBITDA ทั้งหมดของกลุ่ม BGRIM ทริสเรทติ้งมองว่าแม้บริษัทจะมีส่วนแบ่งรายได้เพียงเล็กน้อย แต่บริษัทก็มีสถานะเป็นบริษัทย่อยเชิงกลยุทธ์ของ BGRIM ทั้งนี้ ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมเป็นสินทรัพย์หลักในการผลิตไฟฟ้าของ BGRIM ซึ่งคิดเป็น 70% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดของกลุ่ม
BGRIM มีโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ตั้งอยู่ในพื้นที่สวนฯ บางกะดีจำนวนทั้งสิ้น 2 แห่งซึ่งรวมถึงโรงไฟฟ้าของบริษัทด้วย ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีความสำคัญต่อ BGRIM ในด้านการบริหารจัดการประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยรวมของโรงไฟฟ้าของกลุ่มในสวนฯ บางกะดี ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะได้รับการสนับสนุนจาก BGRIM ในฐานะบริษัทแม่เมื่อบริษัทต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? ในช่วงปี 2565-2568 โรงไฟฟ้าของบริษัทจะมีค่าดัชนีความพร้อมอยู่ในระดับ 92%-99%
? สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. จะอยู่ที่ 90 เมกะวัตต์ และกับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ 24 เมกะวัตต์
? บริษัทจะจำหน่ายไฟฟ้าได้ประมาณ 693-745 ล้านหน่วยต่อปี
? ค่าใช้จ่ายลงทุนจะอยู่ที่ปีละ 4-24 ล้านบาทต่อปี
? การชำระคืนหนี้จะเป็นไปตามตารางการชำระคืนหนี้หุ้นกู้
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสามารถดำรงประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่แข็งแกร่งต่อไปโดยที่บริษัทจะสามารถสร้างผลกำไรและรักษาระดับหนี้สินให้เป็นไปตามประมาณการของทริสเรทติ้งได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทนั้นยังมีจำกัดในช่วงระยะ 12-18 เดือนข้างหน้า ในทางกลับกัน ปัจจัยกดดันที่อาจทำให้มีการปรับลดอันดับเครดิตจะเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทต่ำกว่าประมาณการของทริสเรทติ้งเป็นอย่างมาก หรือความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ? ของทริสเรทติ้งแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่มีสาระสำคัญเกี่ยวกับสถานะเครดิตของ BGRIM หรือความเชื่อมโยงระหว่างบริษัทและ BGRIM ก็อาจมีผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า, 15 กรกฎาคม 2564
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
บริษัท บี. กริม บีไอพี เพาเวอร์ 2 จำกัด (BIP2)
อันดับเครดิตองค์กร: A-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
BIPB335A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ทยอยชำระคืนเงินต้นในวงเงิน 3,350 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2576 A-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable