ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ อัลไล(ทรัสต์ฯ) ที่ระดับ ?BBB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสินทรัพย์ของทรัสต์ฯ ซึ่งเป็นศูนย์การค้าชุมชนหรือคอมมูนิตี้มอลล์ (Community malls) ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลที่มีคุณภาพสูง ตลอดจนกระแสเงินสดที่สามารถคาดการณ์ได้ในระดับสูงจากสัญญาเช่าและบริการพื้นที่ค้าปลีก และนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวัง นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงโอกาสในการเติบโตในอนาคตของทรัสต์ฯและการเปลี่ยนนโยบายการลงทุนไปสู่การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ประเภทอื่นๆ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีปัจจัยลดทอนบางส่วนจากการที่สินทรัพย์ของทรัสต์ฯ มีขนาดเล็กและความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการชะลอตัวของธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
เป็นเจ้าของคอมมูนิตี้มอลล์ในกรุงเทพฯ ที่มีคุณภาพระดับดี
ณ เดือนมีนาคม 2565 ทรัสต์ฯ มีการลงทุนในสิทธิการเช่าในคอมมูนิตี้มอลล์จำนวน 11 แห่งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยคอมมูนิตี้มอลล์ของทรัสต์ฯ นั้นมีขนาดเล็กกว่าและมีพื้นที่เปิดมากกว่าศูนย์การค้าแบบปิดทั่วไป ทั้งนี้ สัดส่วนผู้เช่าในศูนย์การค้าของทรัสต์ฯ แต่ละแห่งได้รับการจัดสรรเพื่อให้รองรับวิถีชีวิต และตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำวันของกลุ่มลูกค้าและผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้น ๆ
อสังหาริมทรัพย์ค้าปลีกของทรัสต์ฯ มีความหลากหลายโดยมีตั้งแต่คอมมูนิตี้มอลล์ระดับหรูในเขตกลางเมืองที่มีพื้นที่ราว ๆ 20,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) ไปจนถึงคอมมูนิตี้มอลล์ขนาดเล็กที่มีพื้นที่ราว ๆ 5,000 ตร.ม. ในเขตชานเมือง โดย ณ สิ้นเดือน มีนาคม 2565 ทรัสต์ฯ มีพื้นที่ให้เช่ารวมทั้งสิ้น 160,256 ตร.ม. ในขณะที่อัตราการเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 93% และอัตราค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ในระหว่าง 400-600 บาทต่อ ตร.ม. ต่อเดือนในปี 2564 และ ในไตรมาสแรกของปี 2565
ผู้เช่าหลักในศูนย์การค้าของทรัสต์ฯ ประกอบไปด้วยร้านขายสินค้าตกแต่งบ้าน ร้านอาหารและเครื่องดื่ม โรงภาพยนตร์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ธนาคาร และโรงเรียนกวดวิชา เป็นต้น
มีกระแสเงินสดที่แน่นอน
รายได้ค่าเช่าและบริการของทรัสต์ฯ สามารถคาดการณ์ได้ในระดับสูงเนื่องจากสัญญาเช่าพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นสัญญาที่มีระยะเวลาการเช่า 3 ปี โดยสัญญาที่เป็นค่าเช่าแบบคงที่มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 80% ของสัญญาเช่าทั้งหมด ในขณะที่อีก 20% เป็นสัญญาเช่าแบบแบ่งรายได้
จากจำนวนพื้นที่เช่าทั้งหมดในปัจจุบันนั้น ทรัสต์ฯ มีสัดส่วนพื้นที่ของสัญญาเช่าที่จะหมดอายุในปี 2565 อยู่ที่ 38% ที่จะหมดอายุในปี 2566 อยู่ที่ 33% ที่จะหมดอายุในปี 2567 อยู่ที่ 21% และพื้นที่ส่วนที่เหลือจะหมดอายุตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป ส่วนอัตราการต่อสัญญาเช่านั้นก็ค่อนข้างสูงโดยอยู่ที่ประมาณ 93% ในระหว่างปี 2563-2564 และ ไตรมาสแรกของปี 2565
ผลการดำเนินงานได้รับผลกระทบจากโรคโควิด 19
ในระหว่างปี 2563-2564 การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ได้ส่งผลกระทบค่อนข้างรุนแรงต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ค้าปลีกทั้งหมดในประเทศไทยซึ่งได้แก่ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ โดยผู้เช่าบางรายจำเป็นต้องปิดร้านเพื่อปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐในการปิดเมือง (Lockdown) ในขณะที่ทรัสต์ฯ มีมาตรการช่วยเหลือผู้เช่าที่ได้รับผลกระทบเพื่อรักษาอัตราการเช่าให้ยังคงสูงอยู่ด้วยการให้ส่วนลดค่าเช่าโดยเฉลี่ยที่ 20%-30% แก่ผู้เช่าในช่วงเวลาดังกล่าว
ทริสเรทติ้งมองว่าทรัสต์ฯ มีผลการดำเนินงานที่ดีเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยทรัสต์ฯ ยังคงสามารถบริหารงานและรักษาผลกำไรเอาไว้ได้ตลอดช่วงเวลาที่มีการแพร่ระบาด ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของทรัสต์ฯ จะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่ภาครัฐมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดลงและสถานการณ์โรคโควิด 19 ภายในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้นมาตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2564
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ค้าปลีกฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2565
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ค้าปลีกในประเทศไทยได้เริ่มกลับสู่ภาวะปกติมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 หลังจากที่รัฐบาลได้ทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมกับธุรกิจค้าปลีก จากสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ค้าปลีกจะฟื้นตัวกลับมาอย่างเข้มแข็งในปี 2565 โดยจำนวนผู้ใช้บริการในศูนย์การค้าล่าสุดนั้นใกล้เคียงกับระดับในช่วงก่อนเกิดโรคโควิด 19 ในปี 2562 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงอ่อนแออยู่ ทรัสต์ฯ จึงคาดว่าจะยังคงลดค่าเช่าให้แก่ผู้เช่าบางรายในสัดส่วน 3%-7% ต่อไปในช่วงปี 2565-2567
ขยายการลงทุนไปในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ประเภทอื่น ๆ
ทรัสต์ฯ มีนโยบายที่จะขยายการลงทุนไปยังอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ประเภทอื่น ๆ เช่น อาคารสำนักงานและคลังสินค้าให้เช่า โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ทรัสต์ฯ ได้ลงทุนซื้อพื้นที่สำนักงานให้เช่า ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟหัวลำโพงรวม 4,347 ตร.ม. ด้วยเงินลงทุนจำนวน 170 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 พื้นที่สำนักงานดังกล่าวมีอัตราการเช่าอยู่ที่ 72% ของพื้นที่ให้เช่าทั้งหมด ซึ่ง 40% ของพื้นที่ให้เช่าดังกล่าวทรัสต์ฯ มีสัญญาเช่าระยะเวลา 10 ปีกับผู้เช่าซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์แห่งนี้
อุปสงค์พื้นที่สำนักงานเริ่มลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและยิ่งลดลงมากขึ้นในช่วงที่มีการแพร่ระบาด บริษัทหลายแห่งได้ลดขนาดของสำนักงานลงและมีการกำหนดนโยบายให้พนักงานทำงานจากบ้านในช่วงระหว่างและหลังการแพร่ระบาด ในขณะที่อุปสงค์ในการเช่าพื้นที่สำนักงานกำลังลดลงแต่ปริมาณพื้นที่สำนักงานให้เช่าในเขตกรุงเทพฯ กลับสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งน่าจะทำให้พื้นที่สำนักงานให้เช่ามีจำนวนมากเกินกว่าความต้องการในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าจะมีพื้นที่สำนักงานใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้าน ตร.ม. ในระหว่างปี 2565-2567
สินทรัพย์จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวภายใน 5 ปี
ทรัสต์ฯ มีนโยบายที่จะลงทุนโดยการซื้อสินทรัพย์ที่สร้างเสร็จแล้ว มีอัตราการเช่าในระดับสูงและมีแนวโน้มการขึ้นค่าเช่าที่แน่นอน ทริสเรทติ้งคาดว่าทรัสต์ฯ จะสามารถเพิ่มพื้นที่ให้เช่าให้เป็นสองเท่าจากปัจจุบันได้ภายในเวลา 3-5 ปีข้างหน้าโดยที่ยังคงสัดส่วนของอสังหาริมทรัพย์ค้าปลีกอยู่ที่ 70%-80% ของพื้นที่ให้เช่าทั้งหมด ทั้งนี้ รายได้ค่าเช่าและบริการของทรัสต์ฯ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1.4-2.1 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2567 โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 1.1 พันล้านบาทในปี 2564 ในขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 40%-50%
ปัจจุบันทรัสต์ฯ ซื้อสินทรัพย์จากเจ้าของอสังหาริมทรัพย์จำนวน 7 ราย โดยมีผู้สนับสนุนหลักคือ เค.อี. กรุ๊ป ซึ่งถือหน่วยลงทุนในสัดส่วน 22.4% ของหน่วยลงทุนทั้งหมดในทรัสต์ฯ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้ พื้นที่ค้าปลีกให้เช่าที่ซื้อมาจากสินทรัพย์ของ เค.อี. กรุ๊ป มีสัดส่วนคิดเป็น 65% ของพื้นที่ให้เช่าทั้งหมดของทรัสต์ฯ นอกจากนี้ ผู้จัดการทรัสต์และผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ของทรัสต์ฯ ยังเป็น บริษัท เค.อี. รีท แมเนจเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกในเครือ เค.อี. กรุ๊ป อีกด้วย
ทั้งนี้ เค.อี. กรุ๊ป เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีประสบการณ์ในด้านการพัฒนาและจัดการโครงการหมู่บ้านระดับหรูและคอมมูนิตี้มอลล์มานานกว่า 20 ปี
มีนโยบายการเงินที่ระมัดระวัง
ทรัสต์ฯ มีนโยบายที่จะคงอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์รวมให้อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 35% ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าทรัสต์ฯ จะสามารถดำเนินนโยบายดังกล่าวต่อไปได้และจะยังคงอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายให้อยู่ที่ระดับประมาณ 6 เท่าเอาไว้ได้อีกด้วย โดยแหล่งเงินทุนสำหรับการลงทุนของทรัสต์ฯ นั้นคาดว่าจะมาจากทั้งเงินกู้และการเพิ่มทุนจากผู้ถือหน่วยลงทุนในทรัสต์ฯ
ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์รวมและอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของทรัสต์ฯ มีความแข็งแกร่งโดยอยู่ที่ระดับ 27% และ 31% ตามลำดับ ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายนั้นอยู่ที่ระดับ 4-7 เท่าในระหว่างปี 2563-2564 และในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565
ทริสเรทติ้งคาดว่าทรัสต์ฯ จะลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์จำนวน 1-2 แห่งต่อปีในช่วงปี 2565-2567 โดยจะยังคงรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์รวมให้อยู่ที่ระดับไม่เกิน 35%
มีสภาพคล่องที่เพียงพอ
ทริสเรทติ้งมองว่าทรัสต์ฯ มีสภาพคล่องทางการเงินในระดับที่เพียงพอ โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 ทรัสต์ฯ มีเงินสดในมือจำนวน 563 ล้านบาทและมีวงเงินกู้ยืมจากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 419 ล้านบาท ในการนี้ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของทรัสต์ฯ ในอีก 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ระดับ 470 ล้านบาท
ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 ทรัสต์ฯ มีหนี้เงินกู้ระยะยาวจำนวน 3.6 พันล้านบาทซึ่งจะครบกำหนดชำระคืนปีละประมาณ 100-260 ล้านบาทในช่วงระหว่างปี 2567-2571 หรือคิดเป็น 25% ของเงินกู้ทั้งหมด ในขณะที่ 75% ของเงินกู้ทั้งหมดจะครบกำหนดชำระคืนในปี 2572
ทรัสต์ฯ มีรายจ่ายเพื่อบำรุงรักษาสินทรัพย์ ซึ่งกำหนดไว้ที่ 4% ของรายได้ค่าเช่าและบริการ และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลอย่างน้อย 90% ของรายได้สุทธิหลังปรับปรุงแล้ว ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าทรัสต์ฯ น่าจะสามารถชำระคืนเงินกู้ยืมได้ภายในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าเมื่อพิจารณาจากผลการดำเนินงานที่ค่อนข้างสม่ำเสมอของทรัสต์ฯ
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? ทรัสต์ฯ จะให้ส่วนลดค่าเช่าที่ระดับ 3%-7% ในระหว่างปี 2565-2567 แก่ผู้เช่าในคอมมูนิตี้มอลล์
? อัตราค่าเช่าโดยเฉลี่ยคาดว่าจะเติบโตที่ระดับ 1%-3% ต่อปีสำหรับคอมมูนิตี้มอลล์และจะคงที่สำหรับพื้นที่สำนักงาน
? อัตราการเช่าโดยเฉลี่ยจะมากกว่า 90% สำหรับคอมมูนิตี้มอลล์และประมาณ 80% สำหรับอาคารสำนักงาน
? รายได้ค่าเช่าและบริการจะเติบโตที่ระดับ 20%-35% ในระหว่างปี 2565-2567
? ทรัสต์ฯ มีแผนจะลงทุนซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติมที่จำนวน 7 พันล้านบาทในช่วงปี 2565-2567
? อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะคงอยู่ที่ระดับ 40%-50%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าอสังหาริมทรัพย์ของทรัสต์ฯ จะสามารถสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอต่อไปได้ในช่วงเวลา 3 ปีข้างหน้า โดยทริสเรทติ้งคาดว่าสินทรัพย์ทั้งหมดจะมีอัตราการเช่าที่สูงและมีอัตราค่าเช่าตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ อีกทั้งยังคาดว่าทรัสต์ฯจะดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างระมัดระวัง โดยรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์รวมให้ต่ำกว่า 35%
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของทรัสต์ฯ อาจถูกปรับลดลง หากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นสูงเกินกว่า 7.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง หรือทรัสต์ฯ มีระดับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์สูงกว่าที่คาดไว้ ในขณะที่การปรับเพิ่มอันดับเครดิตจะเกิดขึ้นได้หากทรัสต์ฯ มีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและ/หรือมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่ำกว่า 4.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า, 15 กรกฎาคม 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ อัลไล (ALLY)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable