ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ ?BBB? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1.2 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ ?BBB? ด้วย โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปชำระคืนหนี้บางส่วน
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนแบรนด์สินค้าของบริษัทซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดคอนโดมิเนียมระดับราคาประหยัดจนถึงระดับบน ตลอดจนยอดขายรอการรับรู้รายได้ (Backlog) จำนวนมากที่จะช่วยประกันรายได้ในอนาคตของบริษัทได้ส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตได้รับแรงกดดันจากระดับหนี้สินของบริษัทที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นจากการขยายธุรกิจ ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับระดับหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยที่สูงและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้ซื้อบ้านในระยะสั้นถึงปานกลาง
ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 อ่อนแอกว่าการคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง โดยรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่เพียง 1.5 พันล้านบาทเทียบกับประมาณการทั้งปี 2565 ของทริสเรทติ้งที่ 1.15 หมื่นล้านบาทเนื่องจากเนื่องจากไม่มีโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จและส่งมอบในช่วงเวลาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้และกำไรของบริษัทจะฟื้นตัวในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2565 เมื่อบริษัทส่งมอบยอดขายที่รอการรับรู้รายได้จำนวนมากในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เป็นต้นไป
ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ในช่วง 9.5 พันล้านบาทถึง 1.3 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567 ในขณะที่คาดว่าอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 16% ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2565 บริษัทมียอดขายรอการรับรู้เป็นรายได้ทั้งสิ้นจำนวน
1.55 หมื่นล้านบาท ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งของยอดขายรอการรับรู้รายได้จะส่งมอบให้แก่ลูกค้าในช่วงที่เหลือของปี 2565 และที่เหลือในปี 2566-2568 อีกทั้ง โครงการของบริษัทมีมูลค่าเหลือขาย (รวมทั้งยูนิตที่สร้างเสร็จแล้วและที่ยังไม่ได้ก่อสร้าง) จำนวน 2.32 หมื่นล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยสินค้าเหลือขายที่สร้างแล้วเสร็จมูลค่า 1.3 พันล้านบาทซึ่งสามารถรับรู้เป็นรายได้ทันทีเมื่อมีการขาย
ทริสเรทติ้งคาดว่าระดับหนี้สินของบริษัทจะยังคงสูงในช่วง 3 ปีข้างหน้าจากการที่บริษัทยังคงขยายธุรกิจอย่างมาก ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะอยู่ที่ระดับ 65%-70% และอัตราส่วนหนี้สินที่ได้รับการปรับปรุงสุทธิต่อทุนจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2 เท่า ณ เดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินรวมจำนวน 1.24 หมื่นล้านบาท โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนจำนวน 4.9 พันล้านบาทซึ่งเป็นหนี้เพื่อใช้พัฒนาโครงการของบริษัทแม่และบริษัทย่อยที่กู้มาจากสถาบันการเงิน ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 40%
ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะสามารถจัดการสภาพคล่องได้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยแหล่งที่มาของสภาพคล่องของบริษัท ณ เดือนมีนาคม 2565 ประกอบด้วยเงินสดจำนวน 2.8 พันล้านบาท และวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่ติดเงื่อนไขในการเบิกอีกจำนวนประมาณ 1 พันล้านบาท ทริสเรทติ้งยังคาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ 1.1 พันล้านบาทในปี 2565 นอกจากนี้ บริษัทยังมีสินค้าเหลือขายที่สร้างแล้วเสร็จในโครงการที่ปลอดภาระรวมประมาณ 1.3 พันล้านบาทซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันสำหรับวงเงินกู้กับสถาบันการเงินได้ ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 5 พันล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้จำนวน 1.5 พันล้านบาท เงินกู้ระยะยาวจำนวน 2.3 พันล้านบาท ตั๋วแลกเงินจำนวน 700 ล้านบาท และเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 538 ล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าเงินลงทุนในบริษัทร่วมและกิจการร่วมทุนจะอยู่ที่ประมาณ 1.3 พันล้านบาทในปี 2565 และคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลที่ระดับประมาณ 40% ของกำไรสุทธิ
ตามข้อกำหนดทางการเงินของหุ้นกู้และเงินกู้ธนาคารระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนให้ต่ำกว่า 2.5 เท่า ซึ่ง ณ เดือนมีนาคม 2565 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 1.7 เท่า ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะไม่มีปัญหาในการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอับดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะส่งมอบผลการดำเนินงานและคงสถานะทางการเงินตามที่คาดการณ์ไว้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรักษาอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินให้อยู่ในระดับประมาณ 5%-10% และอัตราส่วนหนี้สินที่ปรับปรุงแล้วสุทธิต่อทุนให้ต่ำกว่า 2 เท่าได้อย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงได้หากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงจากที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากขนาดธุรกิจของบริษัทขยายใหญ่ขึ้นและโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมากจากระดับปัจจุบันซึ่งจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ในระดับต่ำกว่า 60% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่ปรับปรุงแล้วสุทธิต่อทุนต่ำกว่าระดับ 1.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (NOBLE)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
NOBLE242A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB
NOBLE251A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 1,200 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 3 ปี BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable