ทริสเรทติ้งประกาศเครดิตพินิจ “Negative” อันดับเครดิตองค์กร “บ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น”

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday May 24, 2022 17:29 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งประกาศ ?เครดิตพินิจ? แนวโน้ม ?Negative? หรือ ?ลบ? สำหรับอันดับเครดิตองค์กรระดับ ?AA? ของ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) เนื่องจากการควบรวมกิจการระหว่างบริษัทและ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ

?เครดิตพินิจ? แนวโน้ม ?Negative? หรือ ?ลบ? สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าสถานะทางการเงินของบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวม (NEWCO) อาจมีแนวโน้มต่ำกว่าสถานะทางการเงินของบริษัทเอง นอกจากนี้ อันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้น 1 ขั้นจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัท (Stand-alone Credit Profile) ที่ ?aa-? คาดว่าจะไม่สามารถนำมาใช้ได้สำหรับ NEWCO ได้ ทั้งนี้ การเพิ่มอันดับเครดิตขึ้น 1 ขั้นนั้นมาจากมุมมองของทริสเรทติ้งที่ว่า บริษัทเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของ Telenor ASA (Telenor) แต่สำหรับ NEWCO นั้น Telenor จะมีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่เพียง 27% ซึ่งหมายถึง Telenor จะไม่มีอำนาจควบคุมใน NEWCO ดังนั้น NEWCO จึงไม่มีสถานะการเป็นย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของ Telenor

บริษัทและ TRUE เพิ่งได้รับความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นของแต่ละบริษัทในการควบรวมกิจการดังกล่าว โดยขณะนี้การควบรวมอยู่ระหว่างรอการอนุมัติด้านกฎระเบียบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงเงื่อนไขอื่นๆ เพื่อการดำเนินการควบรวมให้แล้วเสร็จ ทริสเรทติ้งมองว่า NEWCO จะมีธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับธุรกิจของบริษัทหรือของ TRUE เพียงบริษัทเดียว โดยคาดว่าการควบรวมจะทำให้เกิดการผสานพลังทางธุรกิจ รวมทั้งการขยายขนาดของธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน ในขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาในเชิงตัวเลขแล้ว การควบรวมกิจการจะทำให้ NEWCO ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดในด้านรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดย ณ เดือนมีนาคม 2565 TRUE มีส่วนแบ่งตลาดที่ 32% ในขณะที่บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 22%

แม้ว่า NEWCO จะมีธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ทริสเรทติ้งคาดว่าสถานะทางการเงินของ NEWCO จะอ่อนด้อยกว่าเมื่อเทียบกับบริษัท ทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ NEWCO จะอยู่ที่ระดับ 5-5.5 เท่า หลังจากการควบรวม ซึ่งสูงกว่าของบริษัทที่ระดับ 3.8 เท่า ณ เดือนมีนาคม 2565

ทริสเรทติ้งมองว่าความท้าทายในการได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นความเสี่ยงที่ค่อนข้างสำคัญสำหรับการรวมกิจการในครั้งนี้ โดยมีความเป็นไปได้ที่การรวมกิจการจะมีความล่าช้าออกไป ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งจะยกเลิกเครดิตพินิจเมื่อการรวมกิจการเสร็จสิ้น และได้มีการวิเคราะห์ผลกระทบจากการรวมกิจการต่ออันดับเครดิตของบริษัทอย่างถี่ถ้วนแล้ว ทั้งบริษัทและ TRUE คาดว่าการรวมกิจการจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 โดยทริสเรทติ้งจะติดตามความคืบหน้าของการรวมกิจการดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและพิจารณาอันดับเครดิตอย่างเหมาะสม

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศที่มีคลื่นครบทุกย่านความถี่ ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เข้มแข็งและสภาพคล่องที่เพียงพอของบริษัท นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จาก Telenor ซึ่งเป็นบริษัทแม่ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวก็มีข้อจำกัดบางประการจากการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมการสื่อสารแบบไร้สาย ตลอดจนการลงทุนจำนวนมากสำหรับค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่และการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

เป็นผู้ประกอบธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ

บริษัทยังคงสถานะเป็นผู้ประกอบธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ โดย บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นทั้งหมดมีใบอนุญาตในการใช้คลื่นวิทยุครบทุกย่านความถี่ในการให้บริการสำหรับเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งประกอบด้วย ย่านความถี่ต่ำซึ่งบริษัทมีคลื่นความถี่ขนาด 700 เมกะเฮิรตซ์ (Megahertz ? MHz) และ 900 เมกะเฮิรตซ์ ส่วนย่านความถี่ปานกลางนั้นบริษัทมีคลื่นความถี่ขนาด 1800 เมกะเฮิรตซ์ ขนาด 2100 เมกะเฮิรตซ์ และขนาด 2300 เมกะเฮิรตซ์ (เป็นพันธมิตรกับ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)) และย่านความถี่สูงซึ่งบริษัทมีคลื่นความถี่ขนาด 26 กิ๊กกะเฮิรตซ์ (Gigahertz -- GHz)

ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีใบอนุญาตในการใช้คลื่นความถี่ที่เพียงพอในการขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น โดยคลื่นความถี่ขนาด 700 MHz สามารถครอบคลุมพื้นที่ในอาคารรวมถึงพื้นที่ห่างไกลทั่วทุกภูมิภาคได้ดี ในขณะที่คลื่นความถี่ขนาด 26 GHz จะส่งเสริมการให้บริการสำหรับการใช้งานในเทคโนโลยี 5G ที่ต้องการการบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ในทันที นอกจากนี้ บริษัทยังเพิ่มความมั่นใจให้แก่ลูกค้าโดยเร่งเพิ่มการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่สำหรับคลื่นความถี่ต่ำ (คลื่นความถี่ขนาด 700 MHz สำหรับเทคโนโลยี 4G/5G และ คลื่นความถี่ขนาด 900 MHz สำหรับเทคโนโลยี 2G/3G) ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทได้นำเสนอบริการใหม่เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งสามารถให้บริการครอบคลุมไปถึงกลุ่มลูกค้านอกเครือข่ายของบริษัท บริการใหม่นี้ได้แก่ ระบบรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ (Cybersecurity) เกมมิ่งซิม (Gaming SIM) และระบบการจ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชัน โดยกลยุทธ์เหล่านี้ต้องรอผลตอบรับในระยะยาวต่อไป

ณ เดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาด 20% ของจำนวนผู้ใช้บริการทั้งหมดในประเทศ และมีรายได้จากการให้บริการที่ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (Interconnection Charges ? IC) คิดเป็นสัดส่วน 22% ของรายได้รวมของอุตสาหกรรม

การเพิ่มขึ้นของลูกค้ายังคงเป็นความท้าทาย

ปัจจุบันจำนวนผู้ใช้บริการของบริษัทมีจำนวนต่ำกว่า 20 ล้านราย แต่ก็มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทริสเรทติ้งมองว่าการที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการความเข้มงวดในการเดินทางข้ามแดนน่าจะช่วยขยายจำนวนผู้ใช้บริการของบริษัท เนื่องจากผู้ใช้บริการที่เป็นนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าวเป็นฐานลูกค้าที่สำคัญของบริษัท อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้งมองว่าการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทยังคงเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างมากเนื่องจากมีการแข่งขันสูง

การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่

อุตสาหกรรมการสื่อสารแบบไร้สายของไทยต้องเผชิญกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การแพร่ระบาดใหญ่ที่ยืดเยื้อส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดต่ำลงอีกทั้งการแข่งขันก็ทวีความรุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มลูกค้าในระบบเติมเงิน ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ต่างก็พยายามนำเสนอบริการใหม่ ๆ และการส่งเสริมการตลาดที่น่าสนใจเพื่อแย่งชิงลูกค้าจากคู่แข่ง แม้ว่าจำนวนลูกค้าโดยรวมของทั้งอุตสาหกรรมจะฟื้นตัวในปี 2564 แต่ รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ (Average Revenue per User -- ARPU) ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลให้มูลค่ารวมของตลาดลดลง 1.3% มาอยู่ที่ 2.53 แสนล้านบาทเมื่อเทียบกับการเติบโตเฉลี่ยที่ระดับ 2% ต่อปีในช่วงปี 2561-2562 ทั้งนี้ ในไตรมาสแรกของปี 2565 มูลค่าตลาดยังคงหดตัวที่ระดับ 1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่ดี

อันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งของบริษัทเป็นหลัก ทั้งนี้บริษัทมี EBITDA อยู่ในระดับน่าพอใจตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาโดยอยู่ที่ระดับ 2.9-3.1 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยสาเหตุหลักมาจากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้ในขณะที่รายได้จากการให้บริการลดลง

ในประมาณการกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งจะยังไม่พิจารณาถึงแผนการรวมกิจการแต่จะพิจารณาธุรกิจของบริษัทให้เป็นไปตามปกติเท่านั้น โดย ทริสเรทติ้งคาดว่าภายหลังการระบาดของโรคโควิด 19 รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 1%-2% ต่อปี โดยจะมี EBITDA ที่แข็งแกร่งราว 3.0-3.2 หมื่นล้านบาทต่อปีได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

การสนับสนุนจาก Telenor

Telenor เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทตั้งแต่ปี 2554 ณ เดือนมีนาคม 2565 Telenor มีสัดส่วนการถือหุ้นที่ 46.7% Telenor ได้ให้การสนับสนุนแก่บริษัทในหลายด้าน ทั้งในด้านการบริหาร การให้ความรู้ทางด้านเทคนิค และการต่อรองกับผู้ขาย การที่บริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากการสนับสนุนของ Telenor

ในปี 2564 สัดส่วนรายได้และ EBITDA ของบริษัทใน Telenor อยู่ที่ประมาณ 20% และ 16% ตามลำดับ ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ในจำนวน 8 ประเทศที่ Telenor ได้เข้าไปดำเนินงานในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จากการประเมินความสำคัญของบริษัทต่อ Telenor ทริสเรทติ้งมองว่า บริษัทมีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ต่อธุรกิจของ Telenor และให้อันดับเครดิตเพิ่มขึ้น 1 ขั้นจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัท โดยมองว่า Telenor จะให้การสนับสนุนทางการเงินเป็นกรณีพิเศษในยามที่จำเป็น ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าการสนับสนุนจาก Telenor จะยังคงอยู่ในระดับเดิมจนกว่าการรวมกิจการจะสิ้นสุดลง

ภาระหนี้คาดว่าจะลดลง

ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะลดลงในช่วงปีประมาณการ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นไปอยู่ที่ระดับประมาณ 3 เท่าในระหว่างปี 2565-2567 จากระดับประมาณ 4 เท่าในปี 2563-2564 กระแสเงินสดจากการดำเนินงานน่าจะเพียงพอสำหรับการขยายโครงข่ายและชำระค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่ (รวมทั้งสิ้น 2 หมื่นล้านบาท) รวมถึงการจ่ายคืนเงินกู้ ดังนั้น หนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิคาดว่าจะลดลงจาก 1.1 แสนล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2565 มาอยู่ที่ 8.1 หมื่นล้านบาทในปี 2567

สภาพคล่องที่เพียงพอ

ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอ ณ เดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีแหล่งเงินทุนประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 5.6 พันล้านบาท วงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ อีกประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาท รวมถึงเงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.7 หมื่นล้านบาท แหล่งเงินทุนของบริษัทเหล่านี้คาดว่าจะเพียงพอสำหรับการชำระคืนหนี้ระยะยาวที่ถึงกำหนด การชำระค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่ และการลงทุนของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? รายได้จากการให้บริการที่ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่ายจะทยอยเพิ่มขึ้น 1%-2% ต่อปี ในระหว่างปี 2565-2567

? อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายคาดว่าจะอยู่ในช่วง 38% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า

? บริษัทจะลงทุนปีละประมาณ 1.8-2.0 หมื่นล้านบาท

? จะไม่มีการประมูลคลื่นความถี่ใหม่ตลอดระยะเวลาประมาณการ

? อัตราการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 100%

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

หมายเหตุ ?เครดิตพินิจ?

?เครดิตพินิจ? เป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการทบทวนผลอันดับเครดิตของตราสารหนี้หรือองค์กรที่ทริสเรทติ้งได้ประกาศผลอันดับเครดิตไปแล้ว ซึ่งโดยปกติการทบทวนดังกล่าวจะกระทำตลอดอายุของตราสารหรือสัญญาและสรุปผลเมื่อครบรอบปี ในระหว่างเวลานั้นหากมีกรณีที่มีเหตุการณ์สำคัญซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของหน่วยงานแต่ข้อมูลผลกระทบยังไม่เพียงพอต่อการพิจารณาทบทวน ทริสเรทติ้งจะประกาศ "เครดิตพินิจ" เพื่อแจ้งให้สาธารณชนทราบถึงผลดังกล่าวโดยมีแนวโน้ม 3 รูปแบบ คือ ?Positive? (บวก) ?Negative? (ลบ) และ ?Developing? (ยังไม่ชัดเจน) ตามลักษณะของผลกระทบนั้น ๆ ซึ่งจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงผลอันดับเครดิตแต่อย่างใด

บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (DTAC)

อันดับเครดิตองค์กร: AA

แนวโน้มเครดิตพินิจ: Negative

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ