ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A? พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ภายใต้โครงการ Medium-term Note Program (MTN) ปี 2565 ในวงเงินไม่เกิน 1.02 หมื่นล้านบาท อายุไม่เกิน 10 ปีของบริษัทที่ระดับ ?A? ด้วย โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้และขยายธุรกิจ
อันดับเครดิตสะท้อนถึงความหลากหลายของแหล่งที่มาของผลกำไรของบริษัท ตลอดจนภาระหนี้สินทางการเงินที่อยู่ในระดับต่ำ และสถานะด้านความเสี่ยงที่อยู่ในระดับดี นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทย่อยที่สำคัญของบริษัทในธุรกิจที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
ความแข็งแกร่งทางธุรกิจของบริษัทมีความมั่นคงจากการมีแหล่งที่มาของกำไรที่หลากหลายซึ่งครอบคลุมถึงธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธุรกิจด้านการเงินอื่น ๆ อันประกอบด้วยธุรกิจเช่าซื้อ ธุรกิจสินเชื่อที่มีสินทรัพย์เป็นหลักประกัน ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ธุรกิจประกัน และธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ เป็นต้น บริษัทมีบริษัทย่อยที่สำคัญ 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท
ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) สำหรับธุรกิจธนาคารพาณิชย์นั้น บริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้น 23.3% ในธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ในประเทศไทย เมื่อเร็ว ๆ นี้บริษัทได้จัดตั้งบริษัทลูกที่บริษัทถือหุ้นทั้งหมดเพื่อดำเนินธุรกิจสินเชื่อที่มีสินทรัพย์เป็นหลักประกันจำนวน 1 แห่งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2564 โดยใช้ชื่อว่า บริษัท ธนชาต พลัส จำกัด เพื่อให้บริการสินเชื่อแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises -- SMEs) ซึ่งมีที่ดินและอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกัน
หนึ่งในจุดแข็งด้านเครดิตที่สำคัญของบริษัทคือระดับภาระหนี้สินทางการเงินของบริษัทที่อยู่ในระดับต่ำโดยวัดจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับ 0.99 เท่าโดยเทียบกับระดับ 0.93 เท่า ณ สิ้นปี 2564 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรักษาระดับภาระหนี้สินทางการเงินภายใต้งบการเงินรวมให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 1.50 เท่าต่อไปได้โดยอยู่ภายใต้สมมติฐานที่คาดการณ์ว่าหุ้นกู้คงค้างของบริษัททั้งหมดจะมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 1.2-1.5 หมื่นล้านบาทในช่วง 2 ปีข้างหน้าโดยนโยบายการจ่ายเงินปันผลจะยังคงเป็นอัตราแบบก้าวหน้า (Progressive Dividend Payout Policy) ต่อไป
บริษัทมีผลการดำเนินงานที่มีเสถียรภาพโดยได้รับแรงหนุนจากโครงสร้างธุรกิจที่มีความหลากหลาย ธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัทไม่ว่าจะเป็นธุรกิจตลาดทุน ลีสซิ่ง และประกันวินาศภัยนั้นยังคงเป็นแหล่งรายได้ที่ดี ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าธุรกิจเหล่านี้ยังคงรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและการบริหารความเสี่ยงที่มีความรอบคอบ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ย (ROAA) ตามปกติของบริษัทในปี 2564 ฟื้นตัวมาอยู่ที่ระดับ 4.7% จากระดับ 3.2% ในปี 2563 โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวอย่างทั่วถึงของบริษัทย่อยและบริษัทร่วมที่สำคัญของบริษัท
ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยตามปกติของบริษัทจะอยู่ในช่วง 4.1%-4.6% ในระหว่างปี 2565-2567 ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานที่เศรษฐกิจโดยรวมจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วง 2 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าการเติบโตของสินเชื่อของธนาคารทหารไทยธนชาตและบริษัทราชธานีลิสซิ่งจะค่อย ๆ เร่งตัวขึ้นในขณะที่ต้นทุนทางด้านเครดิตจะอยู่ในแนวโน้มที่ลดลง ทริสเรทติ้งยังคาดการณ์ด้วยว่าบริษัทธนชาตประกันภัยจะมีผลการดำเนินงานทางการเงินที่ดีถึงแม้ว่าจะได้รับแรงกดดันในเรื่องต้นทุนจากการลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศบางส่วนในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าก็ตาม
ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงที่ระมัดระวังยังคงเป็นปัจจัยที่สนับสนุนสถานะความเสี่ยงที่อยู่ในระดับเพียงพอของบริษัท ที่ผ่านมาทั้งธนาคารทหารไทยธนชาตและบริษัทราชธานีลิสซิ่งต่างก็สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงด้านเครดิตที่เกิดจากผลกระทบของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่ยืดเยื้อมาได้ ในการนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทย่อยทั้งสองแห่งดังกล่าวได้ผ่านจุดที่เลวร้ายที่สุดของการชะลอตัวของเศรษฐกิจในปี 2563-2564 มาแล้วและมีแนวโน้มที่จะมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้นในปี 2565 จากการที่ภาวะเศรษฐกิจค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมาโดยลำดับ สำหรับ บล. ธนชาตนั้น ความสามารถในการจัดการความเสี่ยงจากเงินให้กู้เพื่อซื้อหลักทรัพย์ก็สามารถพิสูจน์ได้จากการไม่มีการสูญเสียด้านเครดิตจากธุรกิจให้กู้เพื่อซื้อหลักทรัพย์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเลย ส่วนบริษัทธนชาตประกันภัยนั้นก็ยังคงใช้กลยุทธ์การเติบโตที่ระมัดระวังโดยหลีกเลี่ยงให้บริการลูกค้าในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 อัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนของบริษัทธนชาตประกันภัยอยู่ที่ระดับ 1,292% ซึ่งสูงกว่าระดับขั้นต่ำตามกฎข้อบังคับที่ 140% ซึ่งเริ่มบังคับใช้ในปี 2565
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรักษาสถานะเงินทุนให้อยู่ในระดับที่เพียงพอได้ต่อไปในช่วง 12 เดือนข้างหน้าโดยทริสเรทติ้งพิจารณาจากค่าเฉลี่ย 5 ปีของอัตราส่วนเงินทุนที่มีเสถียรภาพ (Stable Funding Ratio -- SFR) ของบริษัทซึ่งอยู่ที่ระดับ 125% ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 ความต้องการเงินทุนที่มีเสถียรภาพ (Stable Funding Needs -- SFN) ของบริษัทประกอบด้วยเงินลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมในสัดส่วน 61% เงินกู้ยืมในส่วนที่ไม่หมุนเวียน 34% และทรัพย์สินรอการขาย 5% ในขณะที่ส่วนของผู้ถือหุ้นคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 74% ของแหล่งเงินทุนที่มีเสถียรภาพ (Available Stable Funding) ของบริษัท และส่วนที่เหลือประกอบด้วยหุ้นกู้ระยะยาวที่มีอายุครบกำหนดหลากหลาย สำหรับในส่วนของบริษัททุน
ธนชาตเองนั้น แหล่งเงินทุนที่เป็นเงินกู้ระยะสั้นประกอบด้วยเงินกู้ยืมระหว่างธนาคาร และในส่วนของแหล่งเงินกู้ระยะยาวนั้น บริษัทมีหุ้นกู้คงค้างอยู่ที่จำนวน 1.37 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565
สัดส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับการชำระคืนก่อน (Priority Debt) เมื่อเทียบกับหนี้สินรวมตามงบการเงินรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 75% ณ เดือนมีนาคม 2565 โดยสัดส่วนหนี้ดังกล่าวเมื่อเทียบกับหนี้สินรวมตามงบการเงินรวมที่อยู่ในระดับสูงเกินกว่า 50% นั้นโดยปกติจะทำให้อันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันลดทอนลงจากอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท 1 ขั้นตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้? ของทริสเรทติ้ง อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าเงินจำนวนมากที่บริษัทลงทุนในธนาคารทหารไทยธนชาตทำให้โอกาสในการได้รับชำระหนี้คืนของเจ้าหนี้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทจึงได้รับการยกเว้นการปรับลดอันดับเครดิต
ทริสเรทติ้งประเมินว่าสถานะสภาพคล่องของบริษัทจะอยู่ในระดับที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี (ปี 2563-2567) ของอัตราส่วนความครอบคลุมของสภาพคล่อง (Liquidity Coverage Measure -- LCM) ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับเฉลี่ยประมาณ 135% โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 แหล่งที่มาของสภาพคล่องจำนวนมากของบริษัทประกอบด้วยหลักทรัพย์รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจระยะสั้น ตราสารหนี้ภาคเอกชน และเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารซึ่งรวมกันจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 5.1 พันล้านบาท
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาภาระหนี้สินทางการเงินให้อยู่ในระดับต่ำ ตลอดจนมีการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด มีแหล่งที่มาของรายได้ที่กระจายตัว รวมถึงมีสถานะแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องที่อยู่ในเกณฑ์ดี
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
ความเป็นไปได้ในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตยังมีจำกัดในระยะใกล้ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากฐานทุนของบริษัทตลอดจนสถานะแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องเสื่อมถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร, 17 กุมภาพันธ์ 2563
บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) (TCAP)
อันดับเครดิตองค์กร: A
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
TCAP22NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A
TCAP238A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A
TCAP23OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A
TCAP258A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 900 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 10,200 ล้านบาท ภายใต้โครงการ Medium-Term Notes Program ปี พ.ศ. 2565 A
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable