ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?AA? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทโฮลดิ้งหลักรายหนึ่งของกลุ่มสหพัฒน์ ตลอดจนการลงทุนที่หลากหลายในบริษัทด้านสินค้าอุปโภคบริโภคภายในกลุ่มสหพัฒน์ และการมีเครือข่ายธุรกิจที่เข้มแข็ง ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการที่บริษัทมีรายได้จากเงินปันผลที่สม่ำเสมอ และมีความยืดหยุ่นทางการเงินที่เข้มแข็งอีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
เป็นหนึ่งในบริษัทโฮลดิ้งหลักของกลุ่มสหพัฒน์
บริษัทสหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้งเป็นบริษัทโฮลดิ้งหลักของกลุ่มสหพัฒน์ โดยกลุ่มสหพัฒน์เป็นกลุ่มบริษัทด้านสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศไทยซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าหลายประเภทภายใต้แบรนด์ชั้นนำมากมายในตลาดที่หลากหลาย อาทิ ?มาม่า? ?วาโก้? ?เปา? ?เอสเซ้นซ์? ?มิสทีน? ฯลฯ ทั้งนี้ กลุ่มสหพัฒน์ได้พัฒนาเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งแบบครบวงจรตั้งแต่กระบวนการจัดหาวัตถุดิบไปจนถึงการผลิตและการจัดจำหน่าย
บริษัทยังเป็นผู้ดำเนินธุรกิจสวนอุตสาหกรรมของกลุ่มสหพัฒน์ซึ่งให้บริการสาธารณูปโภคและบริการอื่น ๆ แก่บริษัทต่าง ๆ ที่ประกอบกิจการในสวนอุตสาหกรรมดังกล่าว นอกจากนี้ บริษัทยังทำหน้าที่เป็นบริษัทโฮลดิ้งซึ่งถือหุ้นในบริษัทต่าง ๆ ในกลุ่มสหพัฒน์อีกด้วย
มีการลงทุนที่หลากหลาย
บริษัทมีการลงทุนที่หลากหลายและกระจายตัวเป็นอย่างดี โดย ณ เดือนมีนาคม 2565 บริษัทลงทุนในบริษัทต่าง ๆ จำนวน 177 แห่งมูลค่า 4.71 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่อยู่ในกลุ่มสหพัฒน์ การลงทุนของบริษัทครอบคลุมในกลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย เช่น อาหารและเครื่องดื่ม เสื้อผ้า เครื่องสำอาง สินค้าอุปโภคบริโภค และอื่น ๆ ในปี 2564 บริษัทมีเงินปันผลรับจากกลุ่มบริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่มคิดเป็นสัดส่วน 39% ของเงินปันผลทั้งหมดที่บริษัทได้รับ ในขณะที่เงินปันผลจากกลุ่มบริษัทด้านสินค้าอุปโภคบริโภค เสื้อผ้า และเครื่องสำอางมีสัดส่วน 26% 5% และ 4% ตามลำดับ
กลุ่มสหพัฒน์มักจะร่วมลงทุนกับพันธมิตรต่าง ๆ และได้สร้างความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับหุ้นส่วนทางธุรกิจจำนวนมากทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ทั้งนี้ การร่วมลงทุนกับหุ้นส่วนทางธุรกิจช่วยลดภาระการลงทุนในระยะเริ่มต้นของบริษัทลงได้และช่วยให้บริษัทได้รับการสนับสนุนจากผู้ร่วมลงทุนซึ่งส่งผลให้บริษัทสามารถขยายการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การมีพันธมิตรทางธุรกิจที่หลากหลายยังช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงพันธมิตรทางธุรกิจเพียงรายใดรายหนึ่งได้อีกด้วย
การลงทุนที่หลากหลายช่วยลดผลกระทบจากโรคโควิด 19
กระแสเงินสดหลักของบริษัทมาจากเงินปันผลจากการลงทุน แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากโรคโควิด 19 แต่เงินปันผลรับของบริษัทในปี 2564 ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 1.4 พันล้านบาท การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อบางธุรกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าเครื่องสำอางและแฟชั่น อย่างไรก็ตาม ในบางธุรกิจ เช่นอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคนั้นจะได้รับผลกระทบที่น้อยกว่าและมีผลการดำเนินงานที่ดีในช่วงที่มีการแพร่ระบาด ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจของกลุ่มสหพัฒน์จะค่อย ๆ ฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 หลังจากที่รัฐบาลได้ใช้นโยบายการกลับมาใช้ชีวิตตามปกติร่วมกับโรคโควิด 19 และการแพร่ระบาดที่ลดลงของสายพันธุ์โอมิครอนซึ่งมีความอันตรายไม่มาก ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะได้รับเงินปันผลจากการลงทุนประมาณ 1.4 พันล้านถึง 1.5 พันล้านต่อปี ในช่วงปี 2565-2567
การลงทุนใหม่ ๆ จะช่วยเพิ่มฐานรายได้ให้มากขึ้น
ในเดือนพฤษภาคม 2565 บริษัทได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) เป็น 66.75% จากการซื้อหุ้นจำนวน 41.81% จากผู้ถือหุ้นเดิมทั้ง 7 รายของบริษัทธนูลักษณ์ โดยมีมูลค่า 1.06 พันล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีหน้าที่ในการทำคำเสนอซื้อหุ้นบริษัทธนูลักษณ์ส่วนที่เหลือจำนวน 33.25% ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 842 ล้านบาท และต้องรวมผลการดำเนินงานของบริษัทธนูลักษณ์เข้ากับงบการเงินของบริษัทด้วย บริษัทธนูลักษณ์เป็นบริษัทในกลุ่มสหพัฒน์ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเสื้อผ้าสำเร็จรูปและเครื่องหนัง ในปี 2564 บริษัทธนูลักษณ์มีรายได้ 1.3 พันล้านบาท และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย 129 ล้านบาท
บริษัทได้เข้าประกอบธุรกิจสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ผ่าน บริษัท อ๊อกซิเจน แอสเซท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ณ เดือนมีนาคม 2565 ยอดสินเชื่อคงค้างของสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์อยู่ที่จำนวน 1.4 พันล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดสินเชื่อคงค้างจะขยายตัวเป็นประมาณ 2.3 พันล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ดอกเบี้ยรับปีละประมาณ 250 ล้านบาท บริษัทได้มีการลดความเสี่ยงจากธุรกิจสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงโดยใช้นโยบายการปล่อยสินเชื่อที่ระมัดระวังเช่น อัตราส่วนเงินกู้ต่อสินทรัพย์ค้ำประกันต่ำกว่า 50%
ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัท (ไม่รวมส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมตามวิธีส่วนได้เสียและเงินปันผลรับ) จะเพิ่มขึ้นจาก 3 พันล้านบาทในปี 2564 เป็น 4 พันล้านบาทในปี 2565 และ 5 พันล้านบาทต่อปีในปี 2566 และ 2567 จากผลการลงทุนใหม่ดังกล่าว ส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2.1 พันล้านต่อปีในช่วงปี 2565-2567
งบดุลอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง
บริษัทยังคงมีงบดุลอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดย ณ เดือนมีนาคม 2564 เงินกู้สุทธิที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 1.3 หมื่นล้านบาทเนื่องจากการลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวเนื่องและธุรกิจสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 23.9% ณ เดือนมีนาคม 2565 เมื่อเทียบกับระดับ 20.9% ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา บริษัทมีแผนจะปรับลดภาระหนี้ลงโดยการขายเงินลงทุนบางส่วนและการจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ บริษัทคาดว่าจะได้รับเงินจากธุรกรรมทั้งสองรวมเป็นเงิน 3.3 พันล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นเป็น 20% ในปี 2567
มีสถานะสภาพคล่องที่เพียงพอและมีความยืดหยุ่นสูง
ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทจะยังคงมีเพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีแหล่งเงินทุนซึ่งประกอบด้วยเงินสดจำนวน 315 ล้านบาทและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 425 ล้านบาท บริษัทยังมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากสถาบันการเงินหลายแห่งอีกจำนวน 4.3 พันล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าในช่วง 12 เดือนข้างหน้า บริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 1.6 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทจะได้รับเงินทุนจำนวน 3.3 พันล้านบาทจากแผนในการขายเงินลงทุนและการจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่ภาระในการชำระหนี้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าของบริษัทประกอบไปด้วยหนี้ระยะยาวจำนวน 997 ล้านบาทและหนี้ระยะสั้นจำนวน 3.35 พันล้านบาท โดยในปี 2565 บริษัทมีงบลงทุนประมาณ 2.4 พันล้านบาท ความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนที่มีสภาพคล่อง ทั้งนี้ มูลค่าตลาดของเงินลงทุนของบริษัทในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้ง 47 แห่งคิดเป็น 3.87 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 ซึ่งมากกว่า 3 เท่าของเงินกู้รวมคงค้างของบริษัท
ณ เดือนมีนาคม 2565 บริษัทไม่มีหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? รายได้จะเพิ่มขึ้นเป็น 4 พันล้านบาทในปี 2565 และ 5 พันล้านบาทในปี 2566 และ 2567
? ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมจะลดลง 3% ในปี 2565 และจะเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 3% ในช่วงปี 2566-2567
? อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะอยู่ที่ระดับ 40%-50%
? งบลงทุนรวมทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 4 พันล้านบาทในช่วงประมาณการ
? อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนคาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 20%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงได้รับเงินปันผลที่แน่นอนจากธุรกิจในกลุ่มสหพัฒนต่อไปเช่นเดิม
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากผลการดำเนินงานของบริษัทต่าง ๆ ในกลุ่มสหพัฒน์ปรับตัวดีขึ้นเป็นอย่างมากซึ่งจะช่วยเพิ่มกระแสเงินสดให้แก่บริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจลดลงหากรายได้จากเงินปันผลของบริษัทลดลงอย่างมากซึ่งอาจเกิดจากผลการดำเนินงานที่อ่อนแอของบริษัทในเครือของกลุ่มสหพัฒน์ หรือหากบริษัทมีนโยบายก่อหนี้จำนวนมาก
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (SPI)
อันดับเครดิตองค์กร: AA
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
SPI256A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 AA
SPI276A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 AA
SPI306A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 AA
SPI326A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575 AA
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable