ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในวงเงิน
ไม่เกิน 1.7 หมื่นล้านบาทที่ระดับ ?BBB+? โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมเดิม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท ทั้งนี้ อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนของบริษัททั้งหมดยังคงอยู่ภายใต้ ?เครดิตพินิจ? แนวโน้ม ?Positive? หรือ ?บวก? โดยปัจจุบันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทอยู่ที่ระดับ ?BBB+? ส่วนอันดับเครดิตหุ้นกู้ที่มีการค้ำประกันบางส่วนอยู่ที่ระดับ ?A-?
อันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของบริษัทยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทในฐานะผู้นำในการให้บริการโทรคมนาคมแบบครบวงจรในประเทศไทยที่มีสถานะทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งทั้งในธุรกิจการให้บริการสื่อสารแบบไร้สายและธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่น่าพอใจของบริษัทและความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคือ เครือเจริญโภคภัณฑ์หรือกลุ่มซีพีและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์คือ China Mobile International Holdings Ltd. (China Mobile) อีกด้วย ในทางกลับกัน อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนจากภาระหนี้สินในระดับสูงและการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมด้วยเช่นกัน
ทริสเรทติ้งคาดการณ์โดยพิจารณาจากธุรกิจในปัจจุบันของบริษัทว่ารายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของบริษัทจะเติบโตเล็กน้อยในช่วงปี 2565-2567 ในขณะที่รายได้จากธุรกิจโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกจะยังคงได้รับแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 6.1-6.5 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยจะมีอัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA Margin) ที่ระดับ 41%-43% ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทนั้นคาดว่าน่าจะอยู่ในช่วง 4.2-4.3 หมื่นล้านบาทต่อปี
ณ เดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีหนี้ที่ปรับปรุงสุทธิอยู่ที่ประมาณ 4.1 แสนล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ที่ระดับ 6.5 เท่า และมีอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินทั้งหมดที่ 38% ทริสเรทติ้งคาดว่าหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะยังคงอยู่ที่ระดับ 6.5-7 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ที่ประมาณ 10% ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทจะตึงตัวแต่ก็อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ บริษัทมีหุ้นกู้และเงินกู้จากธนาคารที่จะครบกำหนดชำระในช่วงเวลา 12 เดือนข้างหน้าจำนวนประมาณ 5.98 หมื่นล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทมีความจำเป็นจะต้องกู้เงินใหม่เพื่อนำมาชำระคืนหนี้เงินกู้เดิมส่วนใหญ่ที่จะครบกำหนด ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและผลการดำเนินงานที่น่าพอใจของบริษัทแล้ว ก็คาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงในการกู้เงินใหม่เพื่อนำมาชำระคืนหนี้เงินกู้เดิมได้
แนวโน้มเครดิตพินิจ
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา ทริสเรทติ้งประกาศ ?เครดิตพินิจ? สำหรับอันดับเครดิตทั้งหมดที่กำหนดให้แก่บริษัท สืบเนื่องมาจากการควบรวมกิจการระหว่างบริษัทและ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (DTAC) มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ เมื่อการควบรวมกิจการเสร็จสิ้นลงแล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่าหนี้ทั้งหมดของบริษัทซึ่งรวมถึงหุ้นกู้ที่จัดอันดับโดยทริสเรทติ้งจะถูกโอนไปยังบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการ หรือ NEWCO
แนวโน้มเครดิตพินิจ ?Positive? หรือ ?บวก? นั้นสะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งที่ว่าบริษัทใหม่ที่จะเกิดจากการควบรวมในครั้งนี้จะมีสถานะเครดิตที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสถานะเครดิตของบริษัท โดยคาดว่าการควบรวมจะทำให้เกิดการผสานพลังทางธุรกิจ รวมทั้งการขยายขนาดของธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน ในขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาในเชิงตัวเลขแล้ว การควบรวมกิจการจะทำให้ NEWCO ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดในด้านรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ อีกทั้ง สถานะทางการเงินของ NEWCO น่าจะแข็งแกร่งกว่าสถานะทางการเงินของบริษัทในปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ โดยทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของ NEWCO หลังจากการควบรวมแล้วจะอยู่ที่ระดับ 5-5.5 เท่าซึ่งต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราส่วนของบริษัทซึ่งอยู่ที่ระดับประมาณ 7 เท่า
ทริสเรทติ้งมองว่าการได้รับอนุมัติให้ควบรวมกิจการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงมีความท้าทาย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งจะยกเลิกเครดิตพินิจเมื่อการควบรวมกิจการเสร็จสิ้นและได้มีการวิเคราะห์ผลกระทบจากการรวมกิจการต่ออันดับเครดิตของบริษัทอย่างถี่ถ้วนแล้ว โดยทริสเรทติ้งจะติดตามความคืบหน้าของการรวมกิจการดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและพิจารณาอันดับเครดิตอย่างเหมาะสม
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
หมายเหตุ ?เครดิตพินิจ?
?เครดิตพินิจ? เป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการทบทวนผลอันดับเครดิตของตราสารหนี้หรือองค์กรที่ทริสเรทติ้งได้ประกาศผลอันดับเครดิตไปแล้ว ในกรณีที่มีเหตุการณ์สำคัญซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของหน่วยงานแต่ข้อมูลผลกระทบยังไม่เพียงพอต่อการพิจารณาทบทวน ทริสเรทติ้งจะประกาศ "เครดิตพินิจ" เพื่อแจ้งให้สาธารณชนทราบถึงผลดังกล่าว โดยมีแนวโน้ม 3 รูปแบบ คือ ?Positive? (บวก) ?Negative? (ลบ) และ ?Developing? (ยังไม่ชัดเจน) ตามลักษณะของผลกระทบนั้น ๆ ซึ่งจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงผลอันดับเครดิตแต่อย่างใด ทริสเรทติ้งจะยกเลิกเครดิตพินิจเมื่อข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์มีเพียงพอและได้พิจารณาอันดับเครดิตของบริษัทอย่างถี่ถ้วนแล้ว
สถานะเครดิตของผู้ค้ำประกัน
ทริสเรทติ้งประเมินอันดับเครดิตหุ้นกู้ที่มีการค้ำประกันบางส่วนของบริษัท โดยพิจารณาจากสถานะเครดิตของทั้งผู้ออกตราสารและผู้ค้ำประกัน คือธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ ?AA+/Stable? จากทริสเรทติ้ง โดยธนาคารกสิกรไทยค้ำประกันหุ้นกู้ในสัดส่วน 45% ของเงินต้นคงเหลือและดอกเบี้ยค้างชำระของหุ้นกู้
อันดับเครดิตองค์กรของธนาคารกสิกรไทยอยู่ที่ระดับ ?AA+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยในการพิจารณาอับดับเครดิตของธนาคารกสิกรไทยนั้น ทริสเรทติ้งใช้ข้อมูลสาธารณะซึ่งทริสเรทติ้งเชื่อว่าเป็นข้อมูลที่เพียงพอสำหรับการประเมินสถานะเครดิตของธนาคาร ทั้งนี้ ธนาคารกสิกรไทยไม่ได้มีส่วนร่วมในการจัดอันดับเครดิตดังกล่าวแต่อย่างใด อันดับเครดิตองค์กรของธนาคารกสิกรไทยสะท้อนถึงสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของธนาคารจากการเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยเมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ ตลอดจนพอร์ตเงินให้กู้ยืมที่มีความหลากหลาย สถานะเงินทุนที่แข็งแกร่ง และความสามารถในการทำกำไรที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งของธนาคารทั้งในด้านแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องอีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนลงจากการที่ธนาคารมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงจากการมีลูกค้าอยู่ในกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กเป็นจำนวนมากซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่ค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับลูกค้าเงินกู้ในกลุ่มอื่น ๆ
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
TRUE227A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 945 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 BBB+
TRUE228A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,799.10 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 BBB+
TRUE228B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 830 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 BBB+
TRUE232A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,330 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
TRUE232B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,875 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
TRUE237A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,394.60 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
TRUE239A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
TRUE23NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 7,438.90 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
TRUE245A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,415.50 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
TRUE248A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 11,841.60 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
TRUE24OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,325 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
TRUE24OB: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,212.90 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
TRUE24NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,268.70 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
TRUE251A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,994.20 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
TRUE251B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,971.30 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
TRUE252A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,207.70 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
TRUE253A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,575.40 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
TRUE258A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 650 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
TRUE25OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,247.90 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
TRUE25NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,486.60 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
TRUE261A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 7,130.30 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+
TRUE261B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,912.10 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+
TRUE262A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,865.20 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+
TRUE263A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,412.10 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+
TRUE26OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,854.70 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+
TRUE26NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,805.80 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+
TRUE272A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,636.60 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 BBB+
TRUE273A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,656.90 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 BBB+
TRUE27OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,116.60 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 BBB+
TRUE27DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,855.60 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 BBB+
TRUE28OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 7,184.50 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 BBB+
TRUE22NA: หุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วน 8,330 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A-
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 17,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 5 ปี BBB+
แนวโน้มเครดิตพินิจ: Positive