ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งได้จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 6.0 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ ?BBB+? ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้เดิม และนำไปลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานขยะแห่งใหม่ของบริษัท
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่มั่นคงของบริษัทซึ่งได้รับจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreements -- PPA) ที่มีกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และข้อได้เปรียบในการแข่งขันด้านต้นทุนเชื้อเพลิงของบริษัท อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตได้รับผลกระทบจากส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่จะค่อย ๆ หมดอายุ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงสัดส่วนหนี้สินที่จะสูงขึ้นจากการลงทุนในโครงการใหม่ ๆ รวมไปถึงความเสี่ยงจากการลงทุนใน ?โครงการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ? (Special Economic Zone -- SEZ) ด้วยเช่นกัน
อันดับเครดิตของบริษัทมีกรอบจำกัดโดยจะไม่เกินไปกว่าอันดับเครดิตของบริษัทแม่ คือบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ ?BBB+/Stable? โดยทริสเรทติ้ง กรอบจำกัดของอันดับเครดิตดังกล่าวนั้นสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทย่อยที่สำคัญ ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างบริษัทแม่และบริษัทย่อย และการเชื่อมโยงทางธุรกิจที่อยู่ในระดับที่สูงของทั้งสองบริษัท ทั้งนี้ อันดับเครดิตเฉพาะขององค์กรของบริษัท (Stand-alone Credit Profile) ยังคงอยู่ที่ระดับ ?a? ซึ่งสะท้อนถึงสถานะเครดิตที่แข็งแกร่งกว่าบริษัทแม่ด้วย
ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าผลกำไรและกระแสเงินสดของบริษัทจะยังคงได้รับผลกระทบเชิงลบจากราคาถ่านหินที่สูงขึ้นมาก และการหมดอายุของ Adder ในปีนี้ โดยกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทลดลง 19.4% มาอยู่ที่ 1.1 พันล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2565 จาก 1.4 พันล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ผลกระทบดังกล่าวคาดว่าจะได้รับการชดเชยบางส่วนจากการปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ที่จะถูกปรับสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และต้นทุนเชื้อเพลิงที่คาดว่าจะลดลงจากการนำเชื้อเพลิงขยะ Refuse-Derived Fuel (RDF) มาใช้ทดแทนถ่านหินซึ่งบริษัทกำลังดำเนินการอยู่
ทริสเรทติ้งคาดว่าผลกำไรของบริษัทจะลดลงในช่วงปี 2565-2566 ก่อนที่จะฟื้นตัวได้ในภายหลัง เมื่อโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะแห่งใหม่ของบริษัทเริ่มดำเนินงานอย่างเต็มที่ในปี 2567 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งมองว่า ระดับของผลกำไรของบริษัทนั้นจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากนี้ไป ในขณะที่ Adder ของ PPA ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดจำนวน 90 เมกะวัตต์ของบริษัทนั้นจะหมดอายุในปี 2568
ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าสัดส่วนหนี้สินของบริษัทจะเพิ่มขึ้นชั่วคราว จากการใช้จ่ายและการลงทุนตามแผนต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ การก่อสร้างโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ 2 แห่งในจังหวัดสงขลาและจังหวัดนครราชสีมา การขยายกำลังการผลิตของ RDF และโครงการทดแทนถ่านหิน นอกจากนี้ บริษัทยังได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะเข้าร่วมในการประมูล PPA สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานขยะอื่น ๆ อีกทั่วประเทศ โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนต่าง ๆ ดังกล่าวในระยะยาว
อันดับเครดิตยังคงได้พิจารณารวมถึงความไม่แน่นอนของโครงการ SEZ ซึ่งถูกสั่งให้ระงับการดำเนินการในขณะนี้ โดยบริษัทได้ลงทุนซื้อที่ดินในอำเภอจะนะไปแล้วรวมมูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของบริษัทยังเชื่อมั่นว่าโครงการจะยังต้องดำเนินต่อไปเนื่องจากเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศและได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าการดำเนินงานโรงไฟฟ้าของบริษัทจะยังคงสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงในระยะยาว นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะได้สัญญาภายใต้โครงการโรงไฟฟ้าใหม่ ๆ และได้รับประโยชน์จากโครงการทดแทนถ่านหินด้วยขยะ ซึ่งจะมีส่วนช่วยชดเชยกระแสเงินสดที่ลดลงหลังจาก Adder หมดอายุลงได้บางส่วน นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานและอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะเป็นไปตามที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทย่อยหลักของบริษัททีพีไอ โพลีนนั้นจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทมีจำกัดในระยะสั้นเนื่องจากทริสเรทติ้งคาดว่าสถานะการเงินของบริษัทจะอ่อนแอลงจาก Adder ที่หมดอายุลง ในขณะที่สัดส่วนหนี้สินมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นระหว่างการก่อสร้างของโรงไฟฟ้าพลังงานขยะแห่งใหม่
ในทางกลับกัน การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ หรือหากบริษัทมีการลงทุนที่ใช้เงินกู้จำนวนมากซึ่งส่งผลให้สถานะทางการเงินรวมของกลุ่มถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตยังอาจได้รับการปรับลดลงด้วยเช่นกันหากทริสเรทติ้งปรับลดอันดับเครดิตของบริษัททีพีไอ โพลีน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (TPIPP)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
TPIPP22NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 BBB+
TPIPP23DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
TPIPP247A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
TPIPP262A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,523.6 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 7 ปี BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable