ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A-? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่?
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงผลงานที่ได้รับการยอมรับของบริษัทในฐานะหนึ่งในผู้นำในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย ตลอดจนฐานรายได้ประจำจำนวนมากจากธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภคและเงินปันผลรับจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าหลายแห่ง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนโดยความผันผวนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนความเสี่ยงของประเทศและความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของบริษัทในต่างประเทศ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังคงพิจารณาถึงความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เปราะบางจากผลกระทบของของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19)
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
คาดว่ายอดขายที่ดินจะฟื้นตัวดีขึ้น
ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทจะฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องจากอุปสงค์ที่อยู่ในระดับสูงและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลังการระบาดของโรคโควิด 19 โดยสมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่า บริษัทจะมียอดขายที่ดินในไทยที่ระดับประมาณ 550 ไร่ในปี 2565 และจะปรับเพิ่มขึ้นเข้าใกล้ช่วงก่อนเกิดโรคโควิด 19 ที่ระดับ 650 ไร่ในปี 2566-2567 รายได้จากการโอนที่ดินในประเทศไทยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.3-2.8 พันล้านบาทต่อปีในปี 2565-2567
ในช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบอย่างมากจากการระบาดของโรคโควิด 19 ยอดขายที่ดินของบริษัทลดลงอย่างมากมาอยู่ที่ระดับ 213 ไร่ ในปี 2563 และ 540 ไร่ในปี 2564 เทียบกับระดับ 600-800 ไร่ในปี 2561-2562
แม้ว่าบริษัทจะยังเผชิญกับความท้าทายหลากหลายประการ ทั้งจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่ายอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนในครึ่งหลังของปี 2565 จากการผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางทั่วโลก และกิจกรรมการลงทุนที่กลับมาดำเนินการได้ตามปกติ ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองว่าบริษัทจะยังคงได้รับประโยชน์จากโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกจากการที่บริษัทมีที่ดินจำนวนมากถึงประมาณ 12,000 ไร่ในจังหวัดชลบุรีและระยอง และคาดว่าความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมจะได้รับประโยชน์จากความต้องการในการย้ายฐานการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากความตึงเครียดของสงครามทางการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีน และผลกระทบจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ทริสเรทติ้งเชื่อว่ากลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S-Curve Industry) และการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่เป็น Smart City ร่วมกับพันธมิตรจากหลายประเทศน่าจะช่วยให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในระยะยาว
รายได้จากประเทศเวียดนามจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
จากการเพิ่มขึ้นของพื้นที่พร้อมขายในนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ของบริษัท ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในประเทศเวียดนาม ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากผลการดำเนินงานในประเทศเวียดนามจะปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป
ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายที่ดินในเวียดนามจำนวน 0-40 ไร่ต่อปีในปี 2561-2563 เทียบกับระดับ 220 ไร่ในปี 2560 ยอดขายที่ลดลงเนื่องมาจากบริษัทได้ขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมแห่งแรกหมด กอปรกับความล่าช้าของการได้รับใบอนุญาตในนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ อย่างไรก็ตาม เริ่มมีสัญญาณความคืบหน้าของโครงการอมตะซิตี้ ฮาลอง ที่ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศเวียดนาม โดยบริษัทมียอดขายที่ดิน 322 ไร่ และรับรู้รายได้จำนวน 1.1 พันล้านบาทในปี 2564 นอกจากนี้ โครงการอมตะซิตี้ ลองถั่น ที่ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศเวียดนาม อยู่ระหว่างการประเมินค่าใช้จ่ายและทำสัญญาเช่าที่ดินกับภาครัฐ บริษัทคาดว่าจะโอนที่ดินและรับรู้รายได้จากนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ได้ในปี 2566
ทริสเรทติ้งมีมุมมองที่ดีเพิ่มขึ้นต่อนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนามจากการที่ได้ประโยชน์จากการมีต้นทุนค่าแรงที่ต่ำ และมีทำเลที่ตั้งใกล้ประเทศจีน ตลอดจนสิทธิประโยชน์จากข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับหลายประเทศ ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีลูกค้าที่มีศักยภาพจำนวนมาก แต่ไม่สามารถขายที่ดินได้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบและความล่าช้าของขั้นตอนการได้รับใบอนุญาต ทริสเรทติ้งคาดว่าในช่วงประมาณการ บริษัทจะมีรายได้หลักจากการดำเนินงานในประเทศเวียดนามจากโครงการอมตะซิตี้ ฮาลอง และโครงการอมตะซิตี้ ลองถั่น ในขณะที่โครงการอื่น ๆ ยังอยู่ในขั้นตอนการขอใบอนุญาตการลงทุน ซึ่งต้องใช้เวลานานและมีความไม่แน่นอน ทริสเรทติ้งประมาณการว่ายอดขายที่ดินในประเทศเวียดนามจะอยู่ที่ระดับปีละ 300-500 ไร่ต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า และรายได้จากการโอนที่ดินจะอยู่ที่ระดับ 0.8-3.4 พันล้านบาทต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน
ฐานรายได้ประจำช่วยลดผลกระทบในช่วงเศรษฐกิจขาลงได้บางส่วน
สถานะทางธุรกิจของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้ประจำจากธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภค รายได้ดังกล่าวมีความแน่นอนสูงและช่วยลดความผันผวนของยอดขายที่ดินได้บางส่วน ธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภคของบริษัทครอบคลุมไปถึงการให้บริการน้ำดิบ น้ำเพื่อการอุตสาหกรรม และบริการบำบัดน้ำเสีย บริษัทมีรายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.0 พันล้านบาท หรือ 39% ของรายได้รวมในปี 2564 จาก 1.3 พันล้านบาท หรือ 17% ของรายได้รวมในปี 2556 การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณลูกค้าและความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ ๆ ในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัท
ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองที่ดีต่อแนวโน้มของธุรกิจสาธาณูปโภค และคาดว่ารายได้จากธุรกิจนี้จะเติบโตอย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับที่สูงกว่า 2.2 พันล้านบาทในปี 2567
เงินปันผลจากธุรกิจโรงไฟฟ้าช่วยเพิ่มกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอแก่บริษัท
บริษัทได้รับเงินปันผลจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าหลายแห่งร่วมกับ บริษัท บี. กริม เพาเวอร์ จำกัด ปัจจุบันกำลังการผลิตติดตั้งรวมของโรงไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทอยู่ที่ 260 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทยังถือหุ้นผ่านกิจการร่วมทุนในสัดส่วน 4.0% ในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า อมตะ บี. กริม เพาเวอร์ (ABPIF) ซึ่งเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้า 2 แห่งในจังหวัดชลบุรีด้วย ในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่าบริษัทจะได้รับเงินปันผลจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าประมาณ 0.3-0.4 พันล้านบาทต่อปี
อัตราส่วนภาระหนี้สินที่ดีขึ้น
จากการเพิ่มทุนและขายหุ้นบางส่วนของบริษัทย่อยในต่างประเทศ ส่งผลให้หนี้สินทางการเงินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2565 จากระดับ 1.4 หมื่นล้านบาทในปี 2563 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนลดลงอยู่ที่ 36.0% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 จากระดับ 43.2% ในปี 2563 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทก็ลดลงมาอยู่ที่ 4.3 เท่าในปี 2564 และ 3.3 เท่าในไตรมาสแรกของปี 2565 จาก 6.4 เท่าในปี 2563
ในอนาคตข้างหน้า บริษัทมีแผนการลงทุนจำนวนมากทั้งจากการซื้อที่ดินและพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย ตลอดจนการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่หลายแห่งในประเทศเวียดนาม และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) แม้ว่าจะมีการลงทุนขนาดใหญ่หลายโครงการ แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทจะอยู่ในระดับปานกลางในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทมีแผนการขายสินทรัพย์บางรายการเพื่อรักษาระดับหนี้สินให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ 3.3-3.8 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ระดับ 3.7-5.3 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะอยู่ที่ 37%-43% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ณ เดือนมีนาคม 2564 บริษัทมีหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับการชำระคืนก่อนจำนวน 6.6 พันล้านบาทจากหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยทั้งหมดจำนวน 1.5 หมื่นล้านบาท หนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับการชำระคืนก่อนส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทย่อย ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับการชำระคืนก่อนเทียบกับหนี้สินรวมในระดับต่ำกว่า 50% ทำให้ทริสเรทติ้งมองว่าเจ้าหนี้ของบริษัทที่ไม่มีหลักประกัน ไม่ได้มีความเสียเปรียบเจ้าหนี้ที่มีสิทธิ์สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
สภาพคล่องอยู่ในระดับที่จัดการได้
ทริสเรทติ้งประเมินสภาพคล่องของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้ายังอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ โดย ณ เดือนมีนาคม 2565 แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 3 พันล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 2.6 พันล้านบาท บริษัทมีวงเงินกู้ระยะสั้นจากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้ประมาณ 3 พันล้านบาทและวงเงินกู้ระยะยาวสำหรับโครงการที่ยังไม่ได้เบิกอีกหลายวงเงิน ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้ที่ครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนขางหน้าเท่ากับ 3.8 พันล้านบาท และค่าใช้จ่ายลงทุนประมาณ 4 พันล้านบาท ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทจะสามารถรักษาสภาพคล่องไว้ได้ในช่วงที่ผลประกอบการอ่อนแอลงจนกระทั่งมีการฟื้นตัวอย่างมั่นคงในอนาคต
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 17% มาอยู่ที่ระดับ 6.1 พันล้านบาทในปี 2565 และจะเติบโตมาอยู่ที่ระดับ 7.3-9.4 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567
? อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะอยู่ที่ 62% ในปี 2565 จากกำไรพิเศษของการขายสินทรัพย์ให้เช่า และอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะอยู่ที่ระดับประมาณ 41%-46% ในช่วงปี 2566-2567
? ค่าใช้จ่ายลงทุนจะอยู่ที่ระดับ 4-8 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมต่อไปได้ ทั้งนี้ คาดว่ารายได้ประจำจากธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภค รวมทั้งเงินปันผลจากธุรกิจโรงไฟฟ้า และรายได้ค่าเช่าโรงงานอุตสาหกรรมจะช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินงานให้แก่บริษัทได้บางส่วนในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากภาระหนี้ของบริษัทลดลง จนส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่ำกว่า 4 เท่าอย่างต่อเนื่องยาวนาน และมีฐานรายได้จากประเทศเวียดนาม และ/หรือประทศอื่นเพิ่มขึ้น ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลง หากบริษัทมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นจนส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายสูงเกินกว่า 8 เท่าเป็นระยะเวลานาน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
AMATA23OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A- AMATA24OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A- AMATA258A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 250 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A- AMATA25OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A- AMATA27OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A- AMATA288A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 750 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A- แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html