ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เกียรติธนา ขนส่ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่มั่นคงของบริษัทในการเป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าเชื้อเพลิงและสินค้าอันตราย ตลอดจนแนวโน้มรายได้ที่ดีจากสัญญาให้บริการขนส่งในปัจจุบัน และภาระหนี้สินที่คาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนลงอย่างมากจากการที่บริษัทมีขนาดของธุรกิจที่ค่อนข้างเล็ก รวมถึงการกระจุกตัวของลูกค้าที่อยู่ในระดับสูง และแรงกดดันที่ต่อเนื่องของต้นทุนราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับตัวสูงขึ้น
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีสถานะธุรกิจที่มั่นคงในตลาดเฉพาะกลุ่ม
บริษัทเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีในฐานะของผู้ให้บริการด้านการขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและสินค้าอันตราย เช่น สารเคมีและก๊าซอุตสาหกรรม โดยจุดแข็งด้านความสามารถในการแข่งขันของบริษัทนั้นมีปัจจัยสนับสนุนจากความเชี่ยวชาญในการขนส่งสินค้าอันตราย ซึ่งผู้ให้บริการจำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวด ในการนี้ บริษัทมีสินทรัพย์ด้านการขนส่งขนาดใหญ่ซึ่งประกอบไปด้วยรถหัวลากและหางพ่วงบรรทุกรวมกว่า 600 คันและยังมีศูนย์ให้บริการด้านการขนส่งอีกถึง 11 แห่ง
ด้วยจุดแข็งเหล่านี้จึงทำให้บริษัทสามารถรักษาประวัติในการดำเนินงานและปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยมาได้อย่างยาวนานจนได้รับความเชื่อถือและมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลูกค้า ทั้งนี้ บริษัทดำเนินธุรกิจด้านการขนส่งสินค้าอันตรายมาตั้งแต่ปี 2547 และสามารถทำสัญญาให้บริการขนส่งกับลูกค้ารายใหญ่และมีชื่อเสียงในธุรกิจเฉพาะมากมายได้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นลูกค้าในธุรกิจปิโตรเลียม เคมีภัณฑ์ ก๊าซสำหรับอุตสาหกรรม และของเสียจากอุตสาหกรรม โดยในปี 2564 บริษัทมีรายได้จากการขนส่งสินค้าเชื้อเพลิงและสินค้าอันตรายคิดเป็นสัดส่วน 70% ของรายได้ทั้งหมด ตามมาด้วยรายได้จากธุรกิจการค้าสินค้าเคมีภัณฑ์ในสัดส่วน 24% และรายได้จากบริการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งในสัดส่วน 6%
ทั้งนี้ ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าบริษัทนั้นได้ประโยชน์จากการดำเนินธุรกิจในตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ซึ่งมีผู้ประกอบการน้อยรายและการที่ผู้ประกอบการรายใหม่จะเข้ามาแข่งขันนั้นค่อนข้างยากจากการมีกฎระเบียบที่เข้มงวด
แนวโน้มรายได้ที่ดีจากสัญญาที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ความแข็งแกร่งด้านเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงลักษณะของธุรกิจที่มีการดำเนินงานภายใต้สัญญาซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถคาดการณ์ฐานของรายได้ในอนาคตได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ รายได้จากการขนส่งทั้งหมดของบริษัทนั้นอยู่ภายใต้สัญญาให้บริการขนส่งระยะปานกลางในช่วงเวลา 2-5 ปี โดย สัญญาหลัก ๆ นั้นส่วนใหญ่ไม่ได้กำหนดปริมาณขนส่งสินค้าขั้นต่ำซึ่งอาจทำให้บริษัทมีความเสี่ยงจากการมีรายได้ที่ไม่แน่นอนอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าความเสี่ยงดังกล่าวได้รับการชดเชยบางส่วนจากการมีคำสั่งใช้บริการด้านขนส่งที่สม่ำเสมอและการต่ออายุสัญญาจากลูกค้ารายใหญ่อย่างต่อเนื่อง
ธุรกิจที่มีขนาดเล็ก
ทริสเรทติ้งมองว่าอันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากขนาดธุรกิจที่เล็กของบริษัท โดยเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทอื่น ๆ ที่จัดอันดับเครดิตโดยทริสเรทติ้งแล้ว บริษัทมีกำไรและสินทรัพย์ที่มีขนาดค่อนข้างเล็กกว่า โดยในช่วงปี 2560-2564 สินทรัพย์ของบริษัทมีจำนวนประมาณ 1,200 ล้านบาท ในขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากประมาณ 221 ล้านบาทในปี 2560 ไปสู่จุดสูงสุดที่ 317 ล้านบาทในปี 2563 ก่อนที่จะลดลงมาเหลือ 194 ล้านบาทในปี 2564
การมีขนาดธุรกิจที่เล็กย่อมส่งผลทำให้บริษัทมีความสามารถในหาแหล่งเงินทุนที่จำกัดรวมถึงมีความทนทานต่อความยากลำบากที่คาดไม่ถึงที่น้อยกว่าด้วย ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทนั้นได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ รายได้ของบริษัทยังได้รับผลกระทบจากมาตรการปิดเมืองในช่วงการแพร่ระบาดสูงสุดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ด้วยเช่นกัน
การกระจุกตัวของลูกค้าอยู่ในระดับสูง
ทริสเรทติ้งมองว่าการที่บริษัทพึ่งพารายได้จากกลุ่ม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อย่างมีนัยสำคัญนั้นเป็นข้อจำกัดต่อสถานะทางธุรกิจของบริษัท ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากสัญญาให้บริการขนส่งก๊าซ NGV ที่มีกับกลุ่ม ปตท. ทยอยหมดอายุลง โดยรายได้จากกลุ่ม ปตท. มีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 40%-60% ของรายได้รวมของบริษัทในช่วงระหว่างปี 2560-2563 และลดลงเหลือประมาณ 33% ในปี 2564 หลังจากสัญญาให้บริการขนส่งก๊าซ NGV ที่เหลือหมดอายุลง
ในอนาคตข้างหน้าทริสเรทติ้งยังคงคาดว่ากลุ่ม ปตท. จะยังคงเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญโดยคิดเป็นสัดส่วนอย่างน้อย 35% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงมองว่าผลการดำเนินงานของบริษัทยังคงมีความอ่อนไหวต่อการหยุดการดำเนินงานของกลุ่ม ปตท. และการลดลงของปริมาณการขนส่งของกลุ่ม ปตท. โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขนส่งน้ำมันดิบหรือก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG)
?
กำไรได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซล
อัตรากำไรของบริษัทมีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้ามกับราคาน้ำมันดีเซล โดยทั่วไปนั้นสัญญาให้บริการขนส่งที่บริษัททำกับลูกค้าจะสามารถส่งผ่านต้นทุนค่าเชื้อเพลิงได้ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม การปรับราคาตามสัญญานั้นมีเงื่อนไขของขอบเขตราคาและมีความล่าช้าในการปรับราคาเพื่อสะท้อนต้นทุนน้ำมันจริงประมาณ 3-6 เดือนด้วย
ทริสเรทติ้งประเมินว่าการเปลี่ยนแปลงราคาของน้ำมันดีเซลอาจส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทเป็นอย่างมากเนื่องจากต้นทุนน้ำมันดีเซลนั้นคิดเป็นประมาณ 30%-35% ของต้นทุนการขนส่งทั้งหมดของบริษัท ทั้งนี้ ในระหว่างปี 2560-2564 อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) ของบริษัทแกว่งตัวอยู่ที่ 23.8% และ 39.1% โดยจุดต่ำสุดและสูงสุดของกำไรเกิดขึ้นเมื่อราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 28.4 บาทต่อลิตรและ 22.6 บาทต่อลิตรตามลำดับ ดังนั้นในระยะสั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่ากำไรของบริษัทน่าจะยังคงได้รับแรงกดดันจากแนวโน้มราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงในปัจจุบันต่อไป
เข้าสู่ธุรกิจการให้บริการสินเชื่อสำหรับรถบรรทุกมือสอง
บริษัทได้ขยายกิจการสู่ธุรกิจให้บริการสินเชื่อสำหรับรถบรรทุกที่ใช้แล้วตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 โดยใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญในการประเมินราคาและบำรุงรักษารถบรรทุกของบริษัท ทั้งนี้ ในเดือนมิถุนายน 2565 ขนาดของพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อของบริษัทอยู่ที่ระดับ 170 ล้านบาท และบริษัทตั้งเป้าที่จะขยายขนาดของพอร์ตสินเชื่อให้เป็น 240 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2565 นี้
ในการประเมินอันดับเครดิตนั้นทริสเรทติ้งได้รวมการพิจารณาความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจ ในการให้บริการสินเชื่อนี้ด้วยเนื่องจากบริษัทมีประวัติผลการดำเนินงานและการบริหารจัดการคุณภาพสินเชื่อที่สั้นมาก นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมองว่ารายได้และกำไรจากธุรกิจดังกล่าวน่าจะยังไม่มีนัยสำคัญในช่วงเวลา 2-3 ปีข้างหน้าอันเนื่องมาจากนโยบายในการปล่อยสินเชื่อที่ระมัดระวังของบริษัทอีกด้วย
คาดว่าผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวจากสัญญาให้บริการขนส่งใหม่ ๆ ที่จะได้รับ
ทริสเรทติ้งมองว่าความเสี่ยงที่รายได้ของบริษัทจะหดตัวลงไปอีกนั้นมีจำกัดเนื่องจากสัญญาให้บริการขนส่งก๊าซ NGV ของบริษัททั้งหมดได้หมดอายุลงแล้ว โดยใน 6 เดือนแรกของปี 2565 ผลการดำเนินงานของบริษัทเริ่มฟื้นตัวขึ้น ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้ 419 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนเป็นผลจากการได้สัญญาให้บริการขนส่งฉบับใหม่ ๆ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะยังคงเติบโตในระดับปานกลางจากการมีสัญญาฉบับใหม่กับ ปตท. เพื่อให้บริการขนส่งก๊าซ LNG โดยภายใต้สัญญาฉบับใหญ่ที่สุดนั้นบริษัทจะเริ่มขนส่งสินค้าในไตรมาสที่สี่ของปี 2565 ซึ่งสมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้ของบริษัทน่าจะเติบโตขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 1,100-1,200 ล้านบาทในปี 2567 จากระดับประมาณ 800-1,000 ล้านบาทในปี 2565.
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในปี 2565 นั้นน่าจะยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากต้นทุนน้ำมันดีเซลที่สูงขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าราคาน้ำมันดีเซลจะอยู่ที่ระดับ 33-35 บาทต่อลิตรในช่วงปี 2565-2566 ก่อนที่จะค่อย ๆ ปรับลดลงในปีถัด ๆ ไป นอกจากนี้
ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทนั้นมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะสามารถบริหารจัดการโครงสร้างต้นทุนเพื่อรักษาผลกำไรเอาไว้โดยเห็นได้จากแผนในการลดจำนวนรถหัวลากที่ไม่ได้ใช้งานแล้วและการปลดพนักงานขับรถลงจำนวนมาก อีกทั้ง บริษัทยังมุ่งเน้นด้านการบำรุงรักษาซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งานยานพาหนะและช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนอีกด้วย ซึ่งภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA Margin ของบริษัทจะอยู่ประมาณ 18%-22% ในปี 2565 ก่อนที่จะปรับตัวดีขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 25%-28% ในระหว่างปี 2566-2567
ภาระหนี้ทางการเงินยังคงอยู่ในระดับต่ำ
ทริสเรทติ้งมองว่าสัดส่วนภาระหนี้สินทางการเงินที่ต่ำ เมื่อรวมกับความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดและความต้องการใช้เงินทุนที่ต่ำจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนความแข็งแกร่งด้านเครดิตและสภาพคล่องของบริษัท ในการนี้ กระแสเงินสดจากธุรกิจหลักน่าจะเพียงพอที่จะสนับสนุนการขยายธุรกิจให้บริการสินเชื่อ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะรักษาระดับหนี้สินทางการเงินให้ต่ำเท่ากับระดับในปัจจุบันเอาไว้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเนื่องจากบริษัทไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ในอนาคตอันใกล้นี้
สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1 เท่าในระหว่างปี 2565-2567 และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 10%-15% ภายในปี 2567
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? รายได้ของบริษัทจะเติบโตที่ระดับ 800-1,000 ล้านบาทในปี 2565 และที่ระดับ 1,100-1,200 ล้านบาทในระหว่างปี 2566-2567
? EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับประมาณ 18%-22% ในปี 2565 และที่ระดับ 25%-28% ในระหว่างปี 2566-2567
? เงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ระดับ 163 ล้านบาทในปี 2565 และที่ระดับประมาณ 100 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567
? อัตราการจ่ายเงินปันผลจะอยู่ที่ระดับ 100% ของกำไรสุทธิ
?
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? แสดงถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถต่ออายุสัญญาให้บริการขนส่งกับลูกค้ารายสำคัญได้อย่างต่อเนื่อง โดยผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงนั้นน่าจะเกิดขึ้นชั่วคราวและอยู่ในการควบคุมของบริษัท ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งก็คาดหวังว่าบริษัทจะไม่ขยายธุรกิจสินเชื่อรถบรรทุกมือสองในแบบเชิงรุกมากจนเกินไปโดยบริษัทน่าจะสามารถรักษาโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
โอกาสในการปรับอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นนั้นยังไม่น่าจะเกิดขึ้นเมื่อพิจารณาจากขนาดธุรกิจของบริษัทในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม แนวโน้มที่จะมีการปรับเพิ่มอันดับเครดิตนั้นอาจเกิดขึ้นได้หากผลกำไรของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่โครงสร้างเงินทุนยังคงแข็งแกร่ง
ในทางกลับกัน การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้ถ้าหากฐานรายได้ของบริษัทหดตัวลงอย่างมาก หรือสัดส่วนภาระหนี้สินของบริษัทเพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญเป็นระยะเวลานาน ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทไม่สามารถต่อสัญญาให้บริการขนส่งกับลูกค้ารายสำคัญ ๆ หรือบริษัทเกิดการขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญจากธุรกิจสินเชื่อ
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
บริษัท เกียรติธนา ขนส่ง จำกัด (มหาชน) (KIAT)
อันดับเครดิตองค์กร: BB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable