ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ภัทรลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำตลาดของบริษัทในธุรกิจให้เช่ารถยนต์และพอร์ตสินทรัพย์ให้เช่าที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้น ตลอดจนภาระหนี้ที่อยู่ในระดับปานกลางและสภาพคล่องที่เพียงพอด้วยเช่นกัน
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีสถานะเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจให้เช่ารถยนต์
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรักษาสถานะผู้นำตลาดในธุรกิจให้เช่ารถยนต์ได้ต่อไปในช่วงเวลา 3 ปีข้างหน้าโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากขนาดธุรกิจของบริษัทที่ค่อนข้างใหญ่และความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับลูกค้ารายใหญ่ต่าง ๆ ทั้งนี้ บริษัทเป็นผู้ให้บริการเช่าดำเนินงานที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในประเทศไทยซึ่งอ้างอิงจากฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 โดยสินทรัพย์ให้เช่ารวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 9.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.4% จากสิ้นปี 2564 ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าสินทรัพย์ให้เช่ารวมของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 9.7-10.3 พันล้านบาทในระหว่างปี 2565-2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของธุรกิจให้เช่ารถยนต์ของบริษัทและการขยายตลาดไปยังกลุ่มสินทรัพย์ให้เช่าที่ไม่ใช่รถยนต์
จุดแข็งของบริษัทในด้านขนาดของธุรกิจส่วนหนึ่งถูกลดทอนด้วยความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของลูกค้าที่อยู่ในระดับสูงเนื่องจากฐานลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทนั้นประกอบด้วยบริษัทขนาดใหญ่ที่ใช้บริการให้เช่ารถยนต์ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงดังกล่าวก็ถูกลดทอนลงด้วยคุณภาพเครดิตที่ดีของลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่และการมีผลิตภัณฑ์และกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 ลูกค้า 20 อันดับแรกของบริษัทมีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 46% ของสินทรัพย์ให้เช่ารวมของบริษัท
ผลิตภัณฑ์มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น
ทริสเรทติ้งมองว่าความพยายามอย่างต่อเนื่องของบริษัทในการสร้างความหลากหลายของสินทรัพย์ให้เช่าไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่รถยนต์ในขณะที่ยังคงรักษาความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้นั้นถือว่าเป็นพัฒนาการในเชิงบวกซึ่งน่าจะยังคงดำเนินต่อไปในระยะปานกลาง กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่รถยนต์ของบริษัท ได้แก่ เรือ เครื่องจักรอุตสาหกรรมหนัก และสินทรัพย์ให้เช่าเฉพาะทางอื่น ๆ ทั้งนี้ บริษัทให้บริการเช่าสินทรัพย์ที่ไม่ใช่รถยนต์ภายใต้สัญญาเช่าเงินทุนเป็นหลักเพื่อลดความเสี่ยงจากมูลค่าสินทรัพย์ที่ลดลงและเพื่อเพิ่มผลตอบแทนโดยรวม
ในระยะ 3 ปีข้างหน้าทริสเรทติ้งคาดว่าสัดส่วนของสัญญาเช่าเงินทุนในส่วนที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ใช่รถยนต์ของบริษัทจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 40% ของพอร์ตสินทรัพย์ให้เช่าทั้งหมดของบริษัทจากระดับ 31.1% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 โดยสินทรัพย์ประเภทเรือ เครื่องจักรอุตสาหกรรมหนัก และสินทรัพย์ให้เช่าเฉพาะทางใหม่ ๆ จะเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตหลัก
สำหรับธุรกิจให้เช่าดำเนินงานรถยนต์นั้น ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงกระจายสินทรัพย์ให้เช่าไปสู่รถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมซึ่งประกอบด้วยรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) ต่อไปในระยะ 3 ปีข้างหน้าโดยคาดว่าสัดส่วนของรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวโดยได้รับแรงหนุนจากความนิยมที่เพิ่มขึ้นของรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ความสามารถในการทำกำไรสูงขึ้น
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจากจุดต่ำสุดในปี 2563 และมีแนวโน้มว่าจะดำเนินต่อไปในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (Earnings Before Interest and Tax Margin ? EBIT Margin) ของบริษัทจะอยู่ระหว่าง 11.5%-13.3% ในช่วงปี 2565-2567 เมื่อเทียบกับจุดต่ำสุดที่ระดับ 8.7% ในปี 2563 และระดับ 9.7% ในปี 2564 โดยจะได้รับแรงหนุนหลักจากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นจากการขายสินทรัพย์ที่หมดสัญญาซึ่งได้รับอานิสงส์จากราคารถยนต์มือสองที่ปรับตัวดีขึ้นและกลยุทธ์ของบริษัทที่เน้นการขายปลีกผ่านแพลตฟอร์ม ?สบายคาร์? (SA-BUY CAR) ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายสินทรัพย์ที่หมดสัญญาของบริษัทจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.1% ในช่วงปี 2565-2567 จากระดับ 2.5% ในปี 2564 ทริสเรทติ้งเชื่อว่าราคารถยนต์มือสองน่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปเนื่องจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งและภาวะขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกซึ่งส่งผลกระทบต่ออุปทานรถยนต์ใหม่ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะยังคงเพิ่มสัดส่วนการขายตรงของสินทรัพย์ที่หมดสัญญาผ่านแพลตฟอร์ม ?สบายคาร์? ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่มยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้น ในขณะเดียวกันบริษัทยังมีความมุ่งมั่นที่จะลดต้นทุนการดำเนินงานผ่านการใช้ระบบดิจิทัลและลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถยนต์และค่าใช้จ่ายประกันภัยอีกด้วย
กระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ปรับตัวดีขึ้น
กระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีต่อดอกเบี้ยจ่ายนั้นปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.8 เท่าในไตรมาสแรกของปี 2565 จากระดับ 1.2-1.5 เท่าในช่วงปี 2563-2564 โดยพัฒนาการดังกล่าวเป็นผลจากกลยุทธ์การเติบโตด้วยการคัดเลือกกลุ่มลูกค้าของบริษัทและการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานที่ดี ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทจะคงอยู่ที่ระดับประมาณ 1.5-1.7 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้าโดยได้รับแรงหนุนจากการที่บริษัทมุ่งเน้นไปยังสินทรัพย์ให้เช่าเฉพาะทางมากยิ่งขึ้น โดยสินทรัพย์ดังกล่าวสร้างอัตรากำไรที่สูงกว่า ในขณะเดียวกัน บริษัทก็ยังคงทำการลดต้นทุนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องต่อไป
ภาระหนี้อยู่ในระดับปานกลาง
ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับปานกลางในอีก 2-3 ปีข้างหน้าด้วยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่ระดับ 70%-71% ทั้งนี้ อัตราส่วนดังกล่าวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 69.3% ณ สิ้นปี 2564 จากระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 (โรคโควิด 19) ซึ่งอยู่ที่ระดับ 75.9% ณ สิ้นปี 2562 จากผลของการหดตัวของสินทรัพย์ให้เช่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาซึ่งส่งผลให้บริษัทลดปริมาณเงินกู้ยืมเงินเพื่อเป็นทุนดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ด้วยการเติบโตที่แข็งแกร่งของธุรกิจให้เช่าสินทรัพย์ที่ไม่ใช่รถยนต์ของบริษัท อัตราส่วนดังกล่าวกลับคืนสู่ระดับ 70.1% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 ทริสเรทติ้งยังคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทจะยังคงอยู่ที่ระดับประมาณ 3 เท่าในระยะปานกลาง ซึ่งต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับเงื่อนไขทางการเงินของหุ้นกู้ที่ระดับ 7 เท่า ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 2.5 เท่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564
โครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่งและสภาพคล่องที่เพียงพอ
ทริสเรทติ้งประเมินว่าสถานะเงินทุนของบริษัทอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความเสี่ยงต่ำในการบริหารจัดการสินทรัพย์และหนี้สิน ทั้งนี้ บริษัทใช้เงินกู้ยืมระยะยาวเป็นแหล่งเงินทุนหลักเพื่อให้สอดคล้องกับอายุของสัญญาเช่า โดยเงินกู้ยืมระยะยาวของบริษัท (รวมเงินกู้ยืมระยะยาวที่ครบกำหนดชำระภายในหนึ่งปี) คิดเป็นสัดส่วน 97.8% ของเงินกู้ยืมทั้งหมด ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องเพียงพอจากการที่บริษัทมีวงเงินสินเชื่อที่ยังสามารถเบิกใช้ได้ทั้งสิ้นจำนวน 980 ล้านบาทจากสถาบันการเงินหลายแห่ง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 นอกจากนี้ ความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทยังมีปัจจัยสนับสนุนจากความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนทั้งจากตลาดเงินและตลาดทุนเมื่อมีความจำเป็นอีกด้วย
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปี 2565-2567 มีดังนี้
? สินทรัพย์ให้เช่ารวมจะเติบโตที่ระดับ 2.6%-4.1%
? อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจเช่าดำเนินงานจะอยู่ที่ระดับประมาณ 12%
? อัตรากำไรขั้นต้นของการขายสินทรัพย์ที่หมดสัญญาจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3.1%
? ต้นทุนทางการเงินจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2.9%-3.3%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะในการแข่งขัน รวมถึงศักยภาพในการสร้างรายได้ และความสามารถในการทำกำไรในธุรกิจหลักของบริษัทเอาไว้ได้เพื่อที่จะรักษาผลประกอบการทางการเงินและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ให้อยู่ในระดับปัจจุบันเอาไว้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากความสามารถในการทำกำไรและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นโดยที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีต่อดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่าระดับ 1.7 เท่าอย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากความสามารถในการทำกำไรหรือกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทปรับตัวลดลงจากระดับปัจจุบันโดยที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีต่อดอกเบี้ยจ่ายลดลงต่ำกว่าระดับ 1.3 เท่าอย่างต่อเนื่อง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
บริษัท ภัทรลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) (PL)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
PL232A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable