ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 1.3 หมื่นล้านบาทและไถ่ถอนภายใน 4 ปีของ บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ที่ระดับ ?BBB+? โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้เงินกู้เดิมและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้ อันดับเครดิตทั้งหมดของบริษัทยังคงอยู่ภายใต้การประกาศ ?เครดิตพินิจ? แนวโน้ม ?Positive? หรือ ?บวก? โดยปัจจุบันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทอยู่ที่ระดับ ?BBB+?
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทซึ่งเป็นบริษัทย่อยหลักของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) ดังนั้น อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทจึงเท่ากับอันดับเครดิตองค์กรของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตจากทริสเรทติ้งที่ระดับ ?BBB+? พร้อมแนวโน้มเครดิตพินิจ ?Positive? หรือ ?บวก?
ผลการดำเนินงานทั้งในส่วนของบริษัทเองและของบริษัทแม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 นั้นสอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง โดยบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น มีรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้นจำนวน 7.18 หมื่นล้านบาทและมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 3.15 หมื่นล้านบาท และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นบริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่จำนวนประมาณ 5.6 หมื่นล้านบาทและมี EBITDA เติบโตเพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมาอยู่ที่ระดับ 1.89 หมื่นล้านบาท ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานอยู่ที่ระดับ 1.24 หมื่นล้านบาท
ณ เดือนมิถุนายน 2565 ธุรกิจสื่อสารแบบไร้สายของบริษัทมีจำนวนลูกค้าทั้งสิ้น 33.3 ล้านราย เพิ่มขึ้นจาก 32.2 ล้านราย ณ สิ้นปี 2564 โดยบริษัทมีลูกค้าเพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของบริการแบบเติมเงินและแบบรายเดือน เมื่อพิจารณาในด้านของรายได้จากการให้บริการนั้น บริษัทยังคงสถานะทางการแข่งขันในการเป็นผู้ให้บริการสื่อสารแบบไร้สายรายใหญ่อันดับสองของประเทศด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดคิดเป็นสัดส่วน 31.6% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565
รายได้รวมของกลุ่มบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ลดลงเล็กน้อยที่ระดับ 1.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งเป็นผลจากรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย (Average Revenue Per User ? ARPU) ของทั้งอุตสาหกรรมที่ลดลงจากผลของการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ชะลอตัว ในขณะเดียวกัน รายได้จากการให้บริการของบริษัทก็ลดลงเล็กน้อยที่ระดับ 1.3% มาอยู่ที่ 3.96 หมื่นล้านบาท ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างชาติจะค่อย ๆ ฟื้นตัวภายหลังจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ในวงกว้างทั่วโลกและจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาลไทย โดยทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัทจะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมาในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีหนี้สินที่ยังคงอยู่ในระดับสูงโดยมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่จำนวนประมาณ 2.78 แสนล้านบาทและมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ที่ระดับ 7.5 เท่า ในขณะเดียวกันก็มีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินอยู่ที่ระดับ 9.1% ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่าหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูง โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับราว ๆ 8 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ที่ระดับประมาณ 8% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
แนวโน้มเครดิตพินิจ
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมาทริสเรทติ้งได้ออกประกาศ ?เครดิตพินิจ? สำหรับอันดับเครดิตทั้งหมดของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น และของบริษัททรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น โดยสืบเนื่องมาจากการที่การควบรวมกิจการระหว่างบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (DTAC) มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ เมื่อการควบรวมกิจการเสร็จสิ้นลงแล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะกลายมาเป็นบริษัทย่อยหลักของบริษัทใหม่ที่จะเกิดจากการควบรวมในครั้งนี้ (NEWCO) ดังนั้น อันดับเครดิตของบริษัทก็จะเท่ากับอันดับเครดิตที่จัดให้แก่ NEWCO
เครดิตพินิจแนวโน้ม ?Positive? หรือ ?บวก? สะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งที่เห็นว่าบริษัทใหม่ที่จะเกิดจากการควบรวมในครั้งนี้จะมีสถานะเครดิตที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสถานะเครดิตของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าการควบรวมจะทำให้เกิดการผสานพลังทางธุรกิจ รวมทั้งเกิดการขยายขนาดของธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน เมื่อพิจารณาในเชิงของตัวเลขแล้ว การควบรวมกิจการจะทำให้ NEWCO ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดในด้านของรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ อีกทั้งสถานะทางการเงินของ NEWCO ก็น่าจะแข็งแกร่งกว่าสถานะทางการเงินของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น ในปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ โดยทริสเรทติ้งคาดว่าหลังจากการควบรวมแล้ว อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของ NEWCO จะอยู่ที่ระดับ 5-5.5 เท่า ซึ่งต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราส่วนของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น ซึ่งอยู่ที่ระดับประมาณ 7 เท่า
ทริสเรทติ้งมองว่าการได้รับความเห็นชอบให้มีการควบรวมกิจการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้นยังคงมีความท้าทาย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งจะยกเลิกเครดิตพินิจเมื่อการควบรวมกิจการเสร็จสิ้นและทริสเรทติ้งได้มีการวิเคราะห์ผลกระทบจากการควบรวมกิจการที่จะมีต่ออันดับเครดิตของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น และของบริษัทอย่างถี่ถ้วนแล้ว โดยทริสเรทติ้งจะติดตามความคืบหน้าของการควบรวมกิจการดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและจะพิจารณาทบทวนอันดับเครดิตอย่างเหมาะสมต่อไป
หมายเหตุ ?เครดิตพินิจ?
?เครดิตพินิจ? เป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการทบทวนผลอันดับเครดิตของตราสารหนี้หรือองค์กรที่ทริสเรทติ้งได้ประกาศผลอันดับเครดิตไปแล้ว ในกรณีที่มีเหตุการณ์สำคัญซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของหน่วยงานแต่ข้อมูลผลกระทบยังไม่เพียงพอต่อการพิจารณาทบทวน ทริสเรทติ้งจะประกาศ ?เครดิตพินิจ? เพื่อแจ้งให้สาธารณชนทราบถึงผลดังกล่าว โดยมีแนวโน้ม 3 รูปแบบ คือ ?Positive? (บวก) ?Negative? (ลบ) และ ?Developing? (ยังไม่ชัดเจน) ตามลักษณะของผลกระทบนั้น ๆ ซึ่งจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงผลอันดับเครดิตแต่อย่างใด ทริสเรทติ้งจะยกเลิกเครดิตพินิจเมื่อข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์มีเพียงพอและได้พิจารณาอันดับเครดิตของบริษัทอย่างถี่ถ้วนแล้ว
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (TUC)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
TUC22DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,772.90 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 BBB+
TUC238A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 8,001.60 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
TUC23DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,545.10 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
TUC241A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 11,190.40 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
TUC243A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,182.90 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
TUC245A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,789.50 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
TUC245B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,888.80 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
TUC246A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
TUC24NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
TUC255A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,306.10 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
TUC256A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 18,544.20 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
TUC25NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,838.20 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
TUC265A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,653.30 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+
TUC26DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 7,480.20 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+
TUC275A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,376.40 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 BBB+
TUC27NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,643.50 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 BBB+
TUC295A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,575.80 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 BBB+
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 13,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 4 ปี BBB+
แนวโน้มเครดิตพินิจ: Positive