ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. ราชธานีลิสซิ่ง” ที่ “A-” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 10, 2022 10:42 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A-? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? อันดับเครดิตได้รับการยกระดับเพิ่มขึ้นจากสถานะเครดิตเฉพาะของบริษัทเพื่อสะท้อนถึงการที่บริษัทมีสถานะเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) ซึ่งบริษัททุนธนชาตได้รับการจัดอันดับเครดิตจากทริสเรทติ้งที่ระดับ ?A/Stable? โดยอันดับเครดิตที่ได้รับการยกระดับสะท้อนถึงการที่บริษัทสร้างรายได้และกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งให้แก่บริษัททุนธนชาต ในขณะที่บริษัทได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านธุรกิจและการเงินจากบริษัททุนธนชาตเช่นกัน

สถานะเครดิตเฉพาะของบริษัทที่ระดับ ?bbb+? สะท้อนถึงความเข้มแข็งของสถานะทางการตลาดของบริษัทในตลาดเฉพาะซึ่งได้แก่สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่เน้นรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์และรถยนต์หรู นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถในการรักษาสถานะทางการตลาด ตลอดจนการมีฐานทุนที่แข็งแรง และผลประกอบการทางการเงินที่ดีของบริษัทอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวก็ถูกลดทอนลงจากความกังวลในเรื่องสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์และความไม่แน่นอนของสภาพเศรษฐกิจ

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

การสนับสนุนที่มั่นคงจากบริษัททุนธนชาต

ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าบริษัทเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของบริษัททุนธนชาต โดยทริสเรทติ้งเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่บริษัททุนธนชาตจะยังคงดำรงสัดส่วนการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทต่อไป ณ เดือนกันยายน 2565 บริษัททุนธนชาตถือหุ้นในบริษัทคิดเป็นสัดส่วน 60.6% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจาก 57.8% ในปีที่แล้ว บริษัทเป็นผู้สร้างรายได้และกระแสเงินสดหลักให้แก่บริษัททุนธนชาต โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทสร้างกำไรสุทธิคิดเป็น 27% ของกำไรสุทธิของบริษัททุนธนชาต

ในด้านการให้การสนับสนุนทางธุรกิจนั้น บริษัททุนธนชาตเป็นผู้กำหนดกลยุทธ์ในภาพรวมของบริษัทซึ่งรวมถึงการบริหารความเสี่ยงโดยผ่านทางตัวแทนที่เป็นคณะกรรมการของบริษัท นอกจากนี้ บริษัททุนธนชาตยังให้การสนับสนุนทางด้านการเงินโดยได้เพิ่มทุนให้แก่บริษัทในเดือนตุลาคม 2563 ที่ผ่านมาซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ฐานทุนของบริษัทเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจอีกด้วย ทั้งนี้ ในระยะยาวนั้น ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงได้รับประโยชน์จากการสนับสนุนด้านเงินทุนจากบริษัททุนธนชาตต่อไปและบริษัทจะมีบริษัททุนธนชาตเป็นแหล่งพึ่งพาด้านเงินทุนแหล่งสุดท้ายในยามที่จำเป็นด้วยเช่นกัน

สถานะทางการตลาดยังคงเข้มแข็งและมีการกระจายตัว

ความชำนาญทางด้านสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ของบริษัทยังคงทำให้บริษัทดำรงสถานะเป็นผู้นำทางการตลาดในด้านสินเชื่อคงค้างเอาไว้ได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยยอดสินเชื่อคงค้างของบริษัทฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ระดับ 4.93 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 เพิ่มขึ้น 3% จากสิ้นปีก่อนหน้าภายหลังจากที่ชะลอตัวมาใน 2 ปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากนโยบายการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังของบริษัท ในปี 2565 บริษัทขยายสินเชื่อในเชิงรุกอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกันกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม โดยมียอดปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ระดับ 1.42 หมื่นล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ซึ่งเป็นยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ที่สูงสุดจากที่เคยปล่อยมาและมากกว่าที่บริษัทคาดการณ์เอาไว้ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 ยอดสินเชื่อคงค้างของบริษัทขยายตัวอย่างต่อเนื่องอีก 6% จากสิ้นปี 2564 มาอยู่ที่ระดับ 5.23 หมื่นล้านบาท โดยการเติบโตนั้นมีปัจจัยสนับสนุนมาจากกลยุทธ์ทางด้านการตลาดและความต้องการรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ในภาคการขนส่งและรถยนต์หรู

ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดสินเชื่อใหม่ของบริษัทจะเติบโตที่ระดับ 20% ในปี 2565 และจะเติบโตในอัตราเฉลี่ย 5% ต่อปีในช่วงปี 2566-2567 โดยมีสินเชื่อรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ในภาคการขนส่ง การค้าระหว่างชายแดน อุปโภคบริโภค และการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสอดคล้องไปกับภาวะเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว ทางด้านการกระจายตัวของธุรกิจนั้น ในปีนี้บริษัทได้เริ่มขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันให้กับฐานลูกค้าเดิมของบริษัท โดยยอดสินเชื่อคงค้างของธุรกิจดังกล่าวเติบโตขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 77 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าสินเชื่อดังกล่าวจะขยายตัวไปอยู่ที่ระดับ 500 ล้านบาทถึง 3 พันล้านบาทในช่วงเวลา 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งธุรกิจใหม่ดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของยอดสินเชื่อและลดแรงกดดันด้านอัตราดอกเบี้ยรับจากสถานการณ์การแข่งขันในอุตสาหกรรมสินเชื่อเช่าซื้อที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นได้

คุณภาพสินทรัพย์และผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นปรับตัวดีขึ้น

นโยบายการเติบโตของสินเชื่ออย่างระมัดระวังของบริษัทใน 2 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งการจัดเก็บหนี้อย่างมีประสิทธิภาพส่งผลให้คุณภาพสินทรัพย์ปรับตัวดีขึ้น โดยอัตราส่วนลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตหรือลูกหนี้ชั้นที่ 3 (NPL) ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2.4% ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 จาก 3.8% ณ สิ้นปี 2564 ซึ่งใกล้เคียงกับระดับเดียวกันกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมที่ระดับ 2%-4% ทั้งนี้ เป็นผลมาจากบริษัทได้เร่งกระบวนการติดตามหนี้และการยึดรถภายหลังมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้สิ้นสุดลงในปี 2564 รวมทั้งมีนโยบายการปล่อยสินเชื่อที่ลดทอนความเสี่ยงทางด้านเครดิตจากการที่เน้นการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ที่เช่าซื้อรถจำนวนหลาย ๆ คัน (Fleet) ซึ่งจะมีสัญญาว่าจ้างงานกับบริษัทใหญ่หลายแห่ง ในมุมองของทริสเรทติ้ง NPL อาจจะมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากการที่บริษัทขยายสินเชื่อในเชิงรุกภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรงและเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของ NPL นั้นยังอยู่ในวิสัยที่บริหารจัดการได้

การปรับตัวลดลงของ NPL Ratio ส่งผลให้อัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อถัวเฉลี่ย (Credit Cost) ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0.8% (ปรับอัตราส่วนเป็นตัวเลขเต็มปี) ในครึ่งแรกของปี 2565 จากระดับ 1.2% ในปี 2564 ณ เดือนมิถุนายน 2565 อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัท (NPL Coverage) เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 117% จากระดับประมาณ 80% ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทริสเรทติ้งคาดว่า Credit Cost นั้นน่าจะยังคงอยู่ที่ระดับประมาณ 0.5%-0.7% และ NPL Coverage จะอยู่ที่ระดับประมาณ 120% ในระหว่างปี 2565-2567

ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่คงที่และผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่ลดต่ำลงช่วยสนับสนุนความสามารถในการทำกำไร

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรักษาความสามารถในการทำกำไรในระดับปานกลางนี้ต่อไปได้ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า โดยความสามารถในการสร้างผลกำไรของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ย (EBT/ARWA) นั้นอยู่ในระดับ 4.4% ในปี 2564 ซึ่งลดลงเล็กน้อยจากระดับ 4.7% ในปี 2563 โดยสาเหตุหลักมาจากการมีค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่เพิ่มขึ้น อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ในระดับ 4.6% (ปรับอัตราส่วนเป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 947 ล้านบาทในครึ่งปีแรกของปี 2565 หรือเพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 โดยสาเหตุหลักมาจากการรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไว้ได้และมีค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่ลดลง ซึ่งสามารถชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้นจากการติดตามหนี้

ทริสเรทติ้งประเมินว่า EBT/ARWA จะอยู่ในระดับที่มากกว่า 4.5% ในช่วงปี 2565-2567 ถึงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจ่ายและ NPL จะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากการขยายตัวของสินเชื่อ รวมทั้งความคาดหวังว่าบริษัทจะรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า 4% รวมทั้ง Credit Cost อยู่ที่ระดับประมาณ 0.5%-0.7% ในขณะที่ควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้อยู่ที่ระดับ 17% ของรายได้รวม

สถานะเงินทุนยังคงแข็งแกร่ง

ทริสเรทติ้งเชื่อว่า บริษัทจะรักษาสถานะเงินทุนที่แข็งแกร่งและเพียงพอต่อการสนับสนุนนโยบายการเติบโตของบริษัทได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยสถานะเงินทุนของบริษัทที่แข็งแกร่งนั้นวัดโดยอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยง (RAC) ซึ่งอยู่ที่ระดับ 22% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 ผลกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่องของบริษัทรวมทั้งนโยบายจ่ายเงินปันผลอย่างระมัดระวังของบริษัทนั้น ช่วยสนับสนุนให้ฐานทุนยังคงแข็งแกร่งถึงแม้จะมีการขยายตัวของสินเชื่ออย่างมาก ซึ่งสถานะเงินทุนในปัจจุบันนี้เพียงพอต่อการสนับสนุนนโยบายการเติบโตของบริษัทได้ในระยะปานกลางภายใต้สมมติฐานว่าสินเชื่อคงค้างจะเติบโตที่ระดับ 7%-12% ต่อปี ซึ่ง RAC จะยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่ง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับ 3.5 เท่าและยังคงเป็นไปตามเงื่อนไขทางการเงินที่บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนไม่ให้เกิน 10 เท่า

มีสถานะแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องที่เพียงพอ

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอ โดย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2565 บริษัทมีวงเงินสินเชื่อที่มีกับสถาบันการเงินหลายแห่งอยู่ที่ระดับ 1.85 หมื่นล้านบาท ซึ่ง 24% ของวงเงินดังกล่าวนั้นยังไม่ได้มีการเบิกใช้ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2565 บริษัทมีวงเงินกู้ที่ได้รับจากธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) อยู่ที่จำนวน 3.03 พันล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 16% ของวงเงินสินเชื่อรวม การที่บริษัทสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ทั้งจากตลาดตราสารหนี้และตลาดตราสารทุนยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สภาพคล่องของบริษัทอีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถออกตั๋วแลกเงิน (B/E) เพื่อจัดการสภาพคล่องได้เป็นระยะอีกด้วย

ในส่วนของโครงสร้างเงินทุนนั้น บริษัทได้อาศัยการกู้ยืมระยะสั้นเพื่อรักษาต้นทุนดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำในขณะที่สินทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นระยะยาวซึ่งทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันระหว่างสินทรัพย์และหนี้สิน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 หนี้สินทางการเงินระยะสั้นของบริษัทมีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 49% ของหนี้สินทางการเงินรวมซึ่งเพิ่มสูงขึ้นจาก 30% จากปีก่อนหน้า นโยบายของผู้บริหารจะปรับเพิ่มอัตราส่วนเงินกู้ระยะยาวให้เป็น 80% ของเงินทุนรวมหรือมากกว่า นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ที่ดีที่มีกับสถาบันการเงินหลายแห่งซึ่งทำให้บริษัทได้รับวงเงินสินเชื่อที่เพียงพอนั้นจะช่วยลดทอนความเสี่ยงทางด้านสภาพคล่องลงได้อีกด้วย

สินเชื่อรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ได้รับผลกระทบที่จำกัดจากสถานการณ์โรคโควิด 19

อุตสาหกรรมรถยนต์ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2565 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นโดยยอดขายรถยนต์ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 15.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว โดยรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มียอดขายเติบโต 16.5% ขณะที่รถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 13.2% อีกทั้ง ยอดจดทะเบียนใหม่ของรถบรรทุกยังมีอัตราการเติบโตที่ 6% ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2565 ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ยังมีอยู่ในภาคอุตสาหกรรมการขนส่งและส่งออกที่ได้รับอานิสงค์จากการผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทางและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ยอดสินเชื่อคงค้างสำหรับผู้ประกอบการสินเชื่อรถยนต์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีการเติบโตที่ดีขึ้น โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 สินเชื่อคงค้างมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 2.4% จากสิ้นปี 2564 ที่มีอัตราการเติบโต 0.4% จากปีก่อนหน้า

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

ทริสเรทติ้งมีสมมติฐานกรณีพื้นฐานสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปี 2565-2567 ดังนี้

? สินเชื่อคงค้างจะเติบโตที่ระดับ 7%-12% ต่อปี

? ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับ 4.1%-4.5%

? ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจะอยู่ที่ระดับประมาณ 0.5%-0.7%

? ค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมจะอยู่ที่ระดับประมาณ 17%

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาด ตลอดจนฐานทุน และความสามารถในการสร้างผลกำไรในระดับปัจจุบันเอาไว้ได้ นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถบริหารคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนอีกด้วย

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากฐานทุนมีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดย RAC ทรงตัวอยู่ในระดับเกินกว่า 25% อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อันดับเครดิตองค์กรอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากอันดับเครดิตของบริษัททุนธนชาตได้รับการปรับเพิ่มขึ้น ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากสถานะเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจนกระทั่ง RAC ลดลงต่ำกว่าระดับ 12% และ/หรือคุณภาพสินเชื่อถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญจนทำให้ EBT/ARWA อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1.5% นอกจากนี้ การปรับลดอันดับเครดิตของบริษัททุนธนชาตอาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทได้ด้วยเช่นกัน

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร, 17 กุมภาพันธ์ 2563

บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) (THANI)

อันดับเครดิตองค์กร: A-

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

THANI22OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A-

THANI237A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 486.3 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A-

THANI23NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,439 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A-

THANI247A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 593.7 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A-

THANI254A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A-

THANI255A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 593 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A-

THANI25DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A-

THANI262A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A-

THANI264A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A-

THANI268A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A-

THANI274A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A-

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ