ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น” ที่ “A-” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 17, 2022 14:30 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A-? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น ?Stable? หรือ ?คงที่?อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทและผลงานในธุรกิจพัฒนาคลังสินค้าตามความต้องการของลูกค้า (Built-to-suit Warehouse) และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงฐานรายได้ประจำจำนวนมากที่บริษัทได้รับจากธุรกิจสินทรัพย์ให้เช่า ธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภค และเงินปันผลจากการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า ตลอดจนความยืดหยุ่นทางการเงินจากการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT หรือทรัสต์ฯ) อีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนลงจากความเสี่ยงของประเทศจากการที่บริษัทดำเนินธุรกิจและลงทุนในต่างประเทศ ตลอดจนลักษณะที่มีความผันผวนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ยอดขายที่ดินมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง

ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายที่ดินของบริษัทจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากการผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางทั่วโลก ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของความต้องการย้ายฐานการผลิตอันเป็นผลมาจากสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

ยอดขายที่ดินของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก ภายหลังจากการระบาดของโรคโควิด 19 ยอดขายที่ดินในประเทศไทยของบริษัทอยู่ที่ 850 ไร่ในปี 2564 และ 482 ไร่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 เพิ่มขึ้นมากจาก 218 ไร่ในปี 2563 และใกล้เคียงกับระดับ 800-1,000 ไร่ต่อปีในช่วงก่อนเกิดโรคโควิด 19 ในขณะที่รายได้จากการขายที่ดินก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.7 พันล้านบาทในปี 2564 และ 1.4 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 จากระดับ 1.5 พันล้านบาทในปี 2563

ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทจะยังคงดีอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งจากความต้องการซื้อที่ดินที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าที่ชะลอการซื้อในช่วงที่ผ่านมาและภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวภายหลังจากการระบาดของโรคโควิด 19 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการชะงักของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก นอกจากนี้ บริษัทยังจะได้รับอานิสงส์จากการมีที่ดินจำนวนมากถึง 8,145 ไร่ในประเทศไทย (รวมถึงที่ดินที่อยู่ในนิคมแห่งใหม่ที่รอการพัฒนา) ซึ่ง 78% ของที่ดินทั้งหมดนี้อยู่ในเขตจังหวัดระยองและชลบุรีซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ทั้งนี้ จากความสามารถในการแข่งขันของบริษัทและฐานลูกค้าเดิมที่แข็งแกร่งโดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ และสร้างยอดขายที่ดีต่อเนื่องได้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่าบริษัทจะมียอดขายที่ดินในประเทศไทยจำนวนประมาณ 1,400 ไร่ในปี 2565 โดยประมาณ 40% ของจำนวนดังกล่าวมาจากยอดขายที่ดินแปลงใหญ่ให้แก่ผู้ผลิตรถไฟฟ้าชั้นนำของประเทศจีน และยอดขายที่ดินคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 850-900 ไร่ต่อปีในช่วงปี 2566-2567 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการขายที่ดินในประเทศไทยจะอยู่ที่ระดับ 4.8 พันล้านบาทในปี 2565 และจะอยู่ที่ระดับ 3.4-3.8 พันล้านบาทในช่วงปี 2566-2567

ขยายการดำเนินงานไปยังประเทศเวียดนาม

บริษัทได้รับใบอนุญาตการลงทุนเพื่อพัฒนานิคมอุตสาหกรรมแห่งแรกของบริษัทในจังหวัด Nghe-An ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม โดยมีขนาดพื้นที่รวม 2,100 เฮกตาร์ (หรือ 13,125 ไร่) โครงการในระยะแรกของนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวมีพื้นที่สำหรับขายจำนวน 631 ไร่ และ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีที่ดินคงเหลือพร้อมขายจำนวน 238 ไร่ ทั้งนี้ การพัฒนานิคมในระยะถัดไปขณะนี้อยู่ในระหว่างการเวนคืนที่ดินและอยู่ในขั้นตอนการรอยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้าง

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะขยายการลงทุนไปยังนิคมแห่งใหม่ในจังหวัด Than Hoa ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ใกล้กับจังหวัด Nghe-An โดยนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้มีขนาดประมาณ 545 เฮกตาร์ และมีพื้นที่อีก 355 เฮกตาร์สำหรับการขยายโครงการในอนาคต (หรือรวมทั้งสิ้น 5,625 ไร่) ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในปี 2567

ทริสเรทติ้งมีมุมมองบวกต่อความต้องการที่ดินนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม จากการที่ประเทศเวียดนามมีการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการมีแรงงานจำนวนมาก มีต้นทุนค่าแรงที่ต่ำ และมีทำเลที่ตั้งใกล้ประเทศจีน รวมถึงการมีสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับหลายประเทศอีกด้วย อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงต้องเผชิญความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ และความล่าช้าในขั้นตอนการอนุมัติใบอนุญาต ทั้งนี้ เมื่อรวมผลกระทบจากความไม่แน่นอนดังกล่าวแล้ว ทริสเรทติ้งจึงประเมินว่ารายได้จากการขายที่ดินในประเทศเวียดนามของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 300-700 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567

ความต้องการพื้นที่ให้เช่าเพิ่มสูงขึ้น

ทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าการเติบโตของอุปสงค์ในพื้นที่เช่าคลังสินค้าและโรงงานจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงอนาคตข้างหน้า จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น และจากปัญหาการชะงักของห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ ยังคาดว่าอานิสงส์จากโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกจะช่วยกระตุ้นบรรยากาศและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้มีมากขึ้นอีกด้วย

แม้ว่าเศรษฐกิจจะหดตัวลงในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 แต่อุปสงค์ในพื้นที่เช่ายังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจ อี-คอมเมิร์ซในช่วงที่มีโรคระบาด ตลอดจนผลกระทบของการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ซึ่งล้วนส่งผลให้ความต้องการพื้นที่เช่าของบริษัทเติบโตมากขึ้น ทั้งนี้ รายได้ค่าเช่าและค่าบริการของบริษัทอยู่ที่ระดับ 1.5 พันล้านบาทในปี 2564 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปี (Compound Annual Growth Rate -- CAGR) ที่ระดับ 16.2% เมื่อเทียบกับระดับ 1 พันล้านบาทในปี 2562 อย่างไรก็ตาม รายได้ค่าเช่าและค่าบริการลดลง 16.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 0.7 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ซึ่งเป็นผลจากการขายสินทรัพย์จำนวนมากเข้ากองทรัสต์ฯ ในช่วงปลายปี 2564

รายได้ประจำจากธุรกิจสาธารณูปโภค

สถานะทางธุรกิจของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้ประจำจากธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภค รายได้ดังกล่าวมีความแน่นอนสูงและช่วยลดความผันผวนของยอดขายที่ดินได้บางส่วน รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.4 พันล้านในปี 2564 จากระดับ 2 พันล้านบาทในปี 2559 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ระดับ 3.3% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคของบริษัทเพิ่มขึ้น 8.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท การเติบโตที่แข็งแกร่งดังกล่าวมาจากปริมาณการจำหน่ายน้ำที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม รวมถึงปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคของบริษัทจะยังคงเติบโตอย่างมั่นคงต่อไปจากการเริ่มทยอยดำเนินการผลิตของลูกค้าที่ซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัท ตลอดจนอุปสงค์การใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ ๆ ที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัท

ผลตอบแทนเงินปันผลจากธุรกิจโรงไฟฟ้า

บริษัทลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าหลายแห่งผ่านทางบริษัทย่อย โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมของโรงไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 612 เมกะวัตต์ แม้ว่าส่วนแบ่งกำไรและเงินปันผลรับจากธุรกิจโรงไฟฟ้าจะลดลงมากในช่วงที่ผ่านมาจากต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นมาก แต่ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานจากธุรกิจโรงไฟฟ้าจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จากการปรับราคาขายไฟและการลดลงกลับสู่ระดับปกติของต้นทุนค่าเชื้อเพลิง ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตจากโรงไฟฟ้าใหม่ ๆ อีกด้วย

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะได้รับเงินปันผลจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ระดับประมาณ 0.5-1 พันล้านบาทในระหว่างปี 2565-2567 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 8%-14% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัท

หนี้สินทางการเงินลดลงมากจากการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์ฯ

ระดับหนี้สินของบริษัทลดลงอย่างมาก ภายหลังจากการขายสินทรัพย์ซึ่งเป็นพื้นที่เช่าจำนวนมากให้แก่ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) ในปี 2564 บริษัทขายพื้นที่เช่าประมาณ 184,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) มูลค่ารวมประมาณ 5.6 พันล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 5.5 เท่าในปี 2564 และ 6 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 จากระดับ 7-8 เท่าในปี 2560-2563

อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นจากแผนการลงทุนเพื่อให้เป็นไปตามกลยุทธ์การเติบโตของบริษัท โดยคาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนตามแผนจำนวนประมาณ 6.6-8.7 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567 ซึ่งเงินลงทุนส่วนใหญ่จะใช้ไปในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยและเวียดนาม ตลอดจนลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคและสินทรัพย์พื้นที่ให้เช่า ทริสเรทติ้งคาดว่า อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 6-7 เท่าในระหว่างปี 2565-2567 และอัตราส่วน EBITDA ต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ระดับ ประมาณ 3.5-4 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน

สภาพคล่องอยู่ในระดับเพียงพอ

ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะยังคงอยู่ในระดับที่เพียงพอ แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินทุนจากการดำเนินงานที่ระดับประมาณ 4 พันล้านบาท เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 5.9 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 9 พันล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาทและเงินลงทุนตามแผนอีกประมาณ 8.7 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทและบริษัทย่อยยังมีความสามารถในการเข้าถึงตลาดทุน และบริษัทยังสามารถขายสินทรัพย์ให้เช่าเข้าทรัสต์ฯ ซึ่งเป็นทางเลือกในด้านเงินทุนอีกทางหนึ่งด้วย โดยทางเลือกดังกล่าวทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินสูง ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะขายสินทรัพย์พื้นที่เช่าให้แก่ WHART และทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล (WHAIR) จำนวน 4 พันล้านบาท และ 1.3 พันล้านบาทตามลำดับ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? รายได้จากการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้น 11% มาอยู่ที่ระดับ 1.3 หมื่นล้านบาทในปี 2565 และจะอยู่ที่ระดับ 1.25-1.34 หมื่นล้านบาทในระหว่างปี 2566-2567

? อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) จะอยู่ที่ระดับ 45%-50% ในระหว่างปี 2565-2567

? ค่าใช้จ่ายลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 6.6-8.7 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2567

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะรักษาสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและธุรกิจพัฒนาคลังสินค้าให้เช่าไว้ได้ ตลอดจนสามารถรักษาระดับหนี้สินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม การที่บริษัทมีรายได้ประจำจำนวนมากจากธุรกิจบริการสาธารณูปโภคและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่ารวมทั้งเงินปันผลจากธุรกิจผลิตไฟฟ้านั้น กระแสเงินสดดังกล่าวเมื่อบวกกับรายได้จากการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์ฯ จึงน่าจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนจากยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้แก่บริษัทได้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากภาวะการลงทุนในภาคเอกชนถดถอยลงอย่างต่อเนื่องจนส่งผลให้รายได้และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงกว่าที่คาดเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ การลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินกู้จำนวนมากซึ่งจะส่งผลให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงและลดทอนความสามารถในการชำระหนี้ จนส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA เกินกว่าระดับ 7 เท่าอย่างต่อเนื่อง ก็จะส่งผลลบต่ออันดับเครดิตของบริษัท

ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากกระแสเงินสดของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงและมีนัยสำคัญโดยที่บริษัทสามารถปรับปรุงโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่งไปพร้อมกันได้ จนส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทต่ำกว่าระดับ 5 เท่าได้อย่างต่อเนื่อง

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA)

อันดับเครดิตองค์กร: A-

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

WHA231A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A-

WHA234A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,100 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A-

WHA234B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A-

WHA237A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,050 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A-

WHA23OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 328 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A-

WHA244A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A-

WHA244B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A-

WHA247B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,450 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A-

WHA253A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A-

WHA257A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A-

WHA25OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,380 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A-

WHA264A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A-

WHA264B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A-

WHA273A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A-

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ