ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (WHAUP) ที่ระดับ ?A-? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงฐานะของบริษัทในการเป็นบริษัทย่อยหลักของ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA) ตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ? (Group Rating Methodology) ของทริสเรทติ้ง ซึ่ง WHA ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ ?A-? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? จากทริสเรทติ้ง
ทริสเรทติ้งยังประเมินให้อันดับเครดิตเฉพาะ (Stand-alone Credit Profile -- SACP) ของบริษัทอยู่ที่ระดับ ?a-? ซึ่งสะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่เป็นผู้ให้บริการสาธารณูปโภคแต่เพียงผู้เดียวในนิคมอุตสาหกรรมของ WHA ทั้งในประเทศไทยและในประเทศเพื่อนบ้าน ตลอดจนฐานรายได้ประจำที่บริษัทได้รับจากการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าด้วย อย่างไรก็ตาม ธุรกิจของบริษัทก็มีข้อจำกัดจากการมีผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่าคาดในธุรกิจสาธารณูปโภคในประเทศเวียดนามและจากราคาเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งมีโอกาสที่จะสร้างแรงกดดันต่อกำไรของบริษัท
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีสถานะเป็นบริษัทย่อยหลักของ WHA
ทริสเรทติ้งประเมินให้ WHAUP เป็นบริษัทย่อยหลักของ WHA เนื่องจากบริษัทมีความเชื่อมโยงในระดับสูงกับบริษัทแม่ในแง่ของกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและการเงิน
กลุ่มบริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA Group) ถือหุ้นของบริษัทในสัดส่วน 74% ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 ทั้งนี้ บริษัทมีการทำสัญญากับ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (WHAID) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยอีกแห่งหนึ่งของ WHA ในการเป็นผู้ให้บริการสาธารณูปโภคแต่เพียงผู้เดียวให้แก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมทุกแห่งของ WHAID ทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน โดยสิทธิดังกล่าวช่วยปกป้องบริษัทไม่ให้คู่แข่งเข้ามาประกอบธุรกิจในพื้นที่ที่บริษัทให้บริการได้ ปัจจุบันบริษัทให้บริการสาธารณูปโภคแก่นิคมอุตสาหกรรมที่เปิดดำเนินการแล้วจำนวน 11 แห่งในประเทศไทยและอีก 1 แห่งในประเทศเวียดนาม
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทสร้างรายได้ในสัดส่วน 27% ของรายได้รวมของ WHA และ 37% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ WHA
ฐานรายได้ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น
รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคและจากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงปีประมาณการ ทั้งนี้ อุปสงค์สาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างมากนั้นส่วนใหญ่มาจากโรงไฟฟ้าใหม่หลายแห่งของลูกค้ารายหนึ่งที่เริ่มเปิดดำเนินการในช่วงปี 2564-2565 และจากการเพิ่มขึ้นของยอดการโอนที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของ WHAID ภายหลังจากการเปิดประเทศ รวมถึงจากกลยุทธ์ของบริษัทที่จะผลักดันอุปสงค์ด้านสาธารณูปโภคจากนิคมอุตสาหกรรมนอก WHAID ให้เพิ่มขึ้นด้วย บริษัทได้ทำสัญญาความร่วมมือกับนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย (AIE) และจะเริ่มให้บริการสาธารณูปโภคแก่ลูกค้ารายแรกของ AIE ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากสาธารณูปโภคเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ต่อปีในระหว่างปี 2565-2566 และ 3% ในปี 2567
รายได้จากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาของบริษัทนั้นก็เติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกันโดยมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นที่ระดับ 20%-30% ต่อปี ทั้งนี้ รายได้จากโครงการผลิตไฟฟ้าดังกล่าวมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 12% ในปี 2564 จากที่ระดับ 1% ในปี 2562
ความกังวลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของธุรกิจสาธารณูปโภคในประเทศเวียดนาม
บริษัทได้มีการขยายการลงทุนในธุรกิจสาธารณูปโภคไปยังประเทศเวียดนามตั้งแต่ปี 2562 ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมที่ประมาณ 2.5 พันล้านบาทใน Cua Lo Water Supply Joint Stock Company และ Duong River Surface Water Plant JSC (SDWTP) โดยทั้ง 2 บริษัทให้บริการครอบคลุมพื้นที่ในเขตจังหวัดฮานอย (Hanoi) และจังหวัดเงียอาน (Nghe An) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม
เนื่องจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐและผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ยอดขายและการเพิ่มราคาค่าน้ำที่ให้บริการจึงไม่เป็นไปตามแผน บริษัทบันทึกส่วนแบ่งจากบริษัทร่วมทุนโดยมีผลขาดทุนสะสมเป็นจำนวน 440 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2565 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมียอดขายเพิ่มขึ้นในช่วงปีประมาณการ โดยการขยายการให้บริการไปยังพื้นที่ใกล้เคียงและผลกระทบจากโรคโควิด 19 ที่ผ่อนคลายลงจะทำให้อุปสงค์ในการใช้น้ำมีมากขึ้น ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทมียอดขายน้ำเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2564
จากสมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรับรู้ส่วนแบ่งผลขาดทุนที่ลดลงและจะยังไม่ได้รับเงินปันผลจากธุรกิจในประเทศเวียดนามในระหว่างปี 2565-2567
?
แรงกดดันจากราคาเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้นในธุรกิจผลิตไฟฟ้า
บริษัทมีกระแสเงินสดจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่ได้ร่วมลงทุนกับหุ้นส่วนทางธุรกิจหลายรายที่ค่อนข้างมั่นคงยกเว้นในปี 2565 ที่ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก บริษัทถือหุ้นในโรงไฟฟ้าหลายแห่งภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (Independent Power Producer -- IPP) โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer -- SPP) และโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กมาก (Very Small Power Producer -- VSPP) โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 กำลังการผลิตติดตั้งรวมของโรงไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท (ไม่รวมกำลังการผลิตติดตั้งสำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาที่บริษัทดำเนินงานเองทั้งหมด) อยู่ที่ 553 เมกะวัตต์ซึ่งรายได้จากการขายไฟฟ้าในส่วนนี้เป็นการขายให้แก่ลูกค้าภาครัฐที่ประมาณ 85%
ทริสเรทติ้งคาดว่าส่วนแบ่งกำไรและเงินปันผลที่บริษัทจะได้รับจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะลดลงในปี 2565 เนื่องจากราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น ซึ่งการเพิ่มขึ้นของต้นทุนเชื้อเพลิงจะส่งผลอย่างมากต่อรายได้ในส่วนของไฟฟ้าที่ขายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม ทั้งนี้ อัตราค่าไฟฟ้าที่ขายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมโดยทั่วไปนั้นจะมีการปรับราคาเพื่อสะท้อนต้นทุนเชื้อเพลิงผ่านค่าไฟฟ้าผันแปรหรือ Ft อย่างไรก็ตาม การปรับค่า Ft นั้นจะล่าช้ากว่าและขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของหน่วยงานที่รับผิดชอบว่าจะปรับในช่วงเวลาและที่อัตราเท่าใด ดังนั้น การเพิ่มขึ้นอย่างมากของราคาค่าก๊าซจึงส่งผลกระทบต่อโรงไฟฟ้า SPP และส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องต่อส่วนแบ่งกำไรและเงินปันผลของบริษัท นอกจากนี้ ราคาถ่านหินที่เพิ่มสูงขึ้นก็ส่งผลกระทบต่อเงินปันผลรับที่บริษัทได้รับจากโรงไฟฟ้า IPP ด้วยเช่นกันเนื่องจากโรงไฟฟ้าเหล่านี้ต้องมีการสำรองเงินสดเอาไว้เพื่อใช้หมุนเวียนในการดำเนินงาน
อนึ่ง บริษัทได้รับเงินสดปันผลจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจำนวน 1 พันล้านบาทในปี 2564 และจำนวน 247 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2565
จากประมาณการขั้นพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าราคาก๊าซและถ่านหินจะยังคงอยู่ในระดับสูงในปี 2565 และจะทยอยลดลงกลับสู่ระดับปกติตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะได้รับเงินสดปันผลจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 450 ล้านบาทในปี 2565 ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนที่เคยได้รับในปี 2564 และหลังจากนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็นราว ๆ 750 ล้านบาทถึง 1 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2566-2567 ทั้งนี้ EBITDA (รวมเงินปันผลรับจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่ร่วมลงทุน) ของบริษัทนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาทในปี 2565 และเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 2.1 พันล้านบาทในปี 2567
ภาระหนี้คาดว่าจะลดลงหลังจากแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นในปี 2565
ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นถึงระดับสูงสุดในรอบ 5 ปีในปี 2565 ก่อนที่จะปรับลดลงในระหว่างปี 2566-2567 โดยเงินลงทุนสำหรับระบบสาธารณูปโภคและการติดตั้งโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์บนหลังคาคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 1-2.4 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปีประมาณการและหนี้สินทางการเงินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วน่าจะอยู่ที่ระดับราว ๆ 1.5 หมื่นล้านบาทแต่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 55% (เมื่อเทียบกับระดับ 49% ในปี 2564)
เนื่องจาก EBITDA คาดว่าจะลดลงในปี 2565 ก่อนที่จะปรับตัวกลับมาอยู่ที่ระดับปกติในช่วงปี 2566-2567 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ของบริษัทจึงคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปจนถึงระดับ 10 เท่าในปี 2565 ก่อนที่จะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 7 เท่าในปี 2567 ทั้งนี้ อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทน่าจะอยู่ระหว่าง 7%-12%
สภาพคล่องอยู่ในระดับที่จัดการได้
ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในอีก 12 เดือนข้างหน้า โดยแหล่งสภาพคล่องประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวนประมาณ 3 พันล้านบาท วงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากสถาบันการเงินจำนวน 3.5 พันล้านบาท และเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะได้รับอีกจำนวนราว ๆ 1 พันล้านบาทต่อปีซึ่งคาดว่าจะเพียงพอสำหรับการชำระหนี้เงินกู้ธนาคารและหุ้นกู้รวมจำนวนประมาณ 5.8 พันล้านบาทที่จะครบกำหนดในระยะ 12 เดือนข้างหน้า
ข้อกำหนดทางการเงินที่สำคัญของหุ้นกู้ระบุให้บริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่เกินกว่า 2.5 เท่า โดยบริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 0.93 เท่า ณ เดือนมิถุนายน 2565 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์มาก ดังนั้น บริษัทจึงไม่น่ามีปัญหาในการที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดดังกล่าวในช่วงเวลา 12-18 เดือนข้างหน้า
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? รายได้รวมคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 12% ในปี 2565 และจะเพิ่มขึ้น 5%-10% ต่อปีในระหว่างปี 2566-2567 จากสาเหตุสำคัญเนื่องมาจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้าใหม่ ๆ ตลอดจนการขยายบริการไปยังลูกค้าใหม่นอกนิคมอุตสาหกรรมของ WHA และรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา
? อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ระดับประมาณ 32%-35% และ EBITDA Margin (รวมเงินปันผลรับ) จะอยู่ที่ระดับประมาณ 55%-75%
? งบลงทุนจะอยู่ที่ระดับ 1.0-2.4 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2567
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงแนวโน้มอันดับเครดิตของ WHA ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าแนวทางและระดับความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่าง WHA และบริษัทจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
เนื่องจากบริษัทเป็นบริษัทย่อยหลักของ WHA อันดับเครดิตของบริษัทจึงขึ้นอยู่กับอันดับเครดิตของ WHA ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่เกิดกับอันดับเครดิตของบริษัทแม่หรือเกิดกับสถานะของบริษัทที่มีต่อกลุ่มก็จะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน
การปรับเพิ่มขึ้นของอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดและความสามารถในการทำกำไรให้เพิ่มสูงขึ้นได้อย่างมีสาระสำคัญในขณะที่ยังคงรักษาความแข็งแกร่งของงบดุลเอาไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทอาจเกิดขึ้นหากความสามารถในการทำกำไรและกำไรของบริษัทลดลงจากที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ หากบริษัทมีการลงทุนเชิงรุกโดยการก่อหนี้จนทำให้อัตราหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทเพิ่มขึ้นจนมาอยู่ที่ระดับ 8 เท่าหรือมากกว่าในระยะเวลาหนึ่งก็อาจนำมาสู่การปรับลดอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทได้เช่นกัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
WHAUP256B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A- WHAUP267A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A- WHAUP276A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A- WHAUP302A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 A- แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html