ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท อินโดรามาเวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?AA-? และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของบริษัทที่ระดับ ?A? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? ทั้งนี้ อันดับเครดิต ?AA-? ยังคงสะท้อนถึงสถานะผู้นำในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ของบริษัท ตลอดจนความได้เปรียบในการแข่งขันจากการมีระบบการผลิตที่ครบวงจร (Vertical Integration) การมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมทั้งการมีฐานการผลิตและฐานลูกค้าที่กระจายตัวอยู่ใน 6 ทวีปทั่วโลก นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถและประสบการณ์ของคณะผู้บริหารของบริษัท รวมทั้งการที่บริษัทสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญในอุตสาหกรรมอีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีด้วยเช่นกัน
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง
ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งซึ่งสะท้อนถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการมีขอบเขตธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ มีระบบการผลิตที่ครบวงจร และมีฐานการผลิตและฐานลูกค้าที่กระจายตัว โดยกำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 18.8 ล้านตันต่อปี ณ เดือนมิถุนายน 2565 จากประมาณ 10.4 ล้านตันต่อปีในปี 2560 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการขยายกำลังการผลิตโดยการซื้อกิจการ การที่บริษัทได้ขยายกำลังการผลิตในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ตั้งแต่วัตถุดิบตั้งต้น (ได้แก่ Paraxylene ? PX รวมถึง Purified Terphthalic Acid -- PTA และ Monoethylene Glycol -- MEG) ไปจนถึงผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ (ได้แก่ Polyethylene Terephthalate หรือพลาสติก PET รวมถึงเส้นใยและด้าย เคมีภัณฑ์อื่น ๆ และบรรจุภัณฑ์) นั้นได้ทำให้บริษัทกลายมาเป็นผู้ผลิตพลาสติก PET แบบบูรณาการ (Combined PET) รายใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายขอบเขตการดำเนินงานจากการผลิตแค่เพียง Ethylene Oxide/Glycol ไปสู่กลุ่มธุรกิจ Integrated Oxide and Derivatives (IOD) อีกด้วย
ในเดือนเมษายน 2565 บริษัทได้ดำเนินธุรกรรมการซื้อกิจการของ Oxiteno ซึ่งเป็นผู้ผลิตสารลดแรงตึงผิว (Surfactant) และเคมีภัณฑ์ระดับโลกสัญชาติบราซิลที่มูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แล้วเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งทริสเรทติ้งมองว่าการซื้อกิจการ Oxiteno จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจของบริษัทโดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจในกลุ่ม IOD โดยผลิตภัณฑ์ของ Oxiteno นั้นมุ่งเน้นที่เคมีภัณฑ์ขั้นปลายเฉพาะกลุ่มซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มเพื่อให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าปัจจุบันเพิ่มมากขึ้นและยังช่วยให้บริษัทสามารถเข้าถึงตลาดในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาได้อีกด้วย
การเป็นผู้ผลิตแบบบูรณาการทำให้บริษัทอยู่ในสถานะที่มีข้อได้เปรียบหลายประการไม่ว่าจะเป็นการมีต้นทุนที่แข่งขันได้ ตลอดจนการมีประสิทธิภาพในการผลิต การมีฐานการผลิตในหลากหลายภูมิภาค และการเข้าถึงตลาดที่กว้างขวางยิ่งขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีฐานการผลิตอยู่ใน 35 ประเทศซึ่งครอบคลุม 6 ทวีป ได้แก่ ทวีปเอเชีย อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป แอฟริกา และออสเตรเลีย โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้นถึง 18.8 ล้านตันต่อปีซึ่งประกอบด้วยธุรกิจ Combined PET 67% ธุรกิจ IOD 21% และธุรกิจเส้นใยและด้าย 12%
ผลการดำเนินงานแข็งแกร่งต่อเนื่องจนถึงปี 2565
บริษัทมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งตั้งแต่ปี 2564 ต่อเนื่องจนถึงครึ่งแรกของปี 2565 แม้ว่าราคาพลังงานจะเพิ่มขึ้นในช่วงดังกล่าวแต่ก็สามารถชดเชยได้ด้วยอัตรากำไรที่สูงขึ้นเป็นอย่างมากอันเนื่องมาจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Disruption) ผนวกกับอุปสงค์ที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในทุกผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจ Combined PET มีกำไรที่เพิ่มขึ้นโดยมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายหลัก (Core EBITDA) ต่อตันอยู่ที่ 160 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 เปรียบเทียบกับ 103 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2564 ส่วนกลุ่มธุรกิจ IOD ก็มีผลการดำเนินงานที่ดีเช่นกันโดยมี Core EBITDA ต่อตันเพิ่มขึ้นเป็น 288 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 จาก 168 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2564 ซึ่งการฟื้นตัวของอุปสงค์ของ Methyl Tertiary Butyl Ether (MTBE) และกลุ่มผลิตภัณฑ์ขั้นปลายที่แข็งแกร่งช่วยทำให้กำไรของกลุ่ม IOD เพิ่มขึ้นอย่างมากและสามารถชดเชยกับกำไรที่ลดลงของ MEG ได้ สำหรับกลุ่มธุรกิจเส้นใยและเส้นด้ายนั้นมี Core EBITDA ต่อตันที่ยังคงอยู่ที่ราว ๆ 159 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว บริษัทมี Core EBITDA ต่อตันเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยที่ 182 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 จาก 119 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2564
สำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2565 นั้น EBITDA ของบริษัทเพิ่มขึ้น 92% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 5.91 หมื่นล้านบาทซึ่งรวมกำไรจากสินค้าคงคลังจำนวน 1.1 หมื่นล้านบาท การซื้อกิจการ Oxiteno ได้เพิ่ม Core EBITDA ให้แก่บริษัทที่จำนวน 2.9 พันล้านบาทในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 และเพิ่มหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วเป็น 2.53 แสนล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2565 อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัทส่งผลทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 2.8 เท่า (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ณ เดือนมิถุนายน 2565 จาก 3.6 เท่าในเดือนธันวาคม 2564
แสวงหาความยั่งยืน
ความยั่งยืน (Sustainability) เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญของบริษัท เนื่องจากพลาสติก PET นั้นเป็นวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ (รีไซเคิล) ได้เต็ม 100% บริษัทจึงมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) หรือในภาคการผลิตพลาสติกครบวงจรแบบยั่งยืน ทั้งนี้ บริษัทได้เข้าสู่ธุรกิจรีไซเคิลมาตั้งแต่ปี 2554 เมื่อครั้งที่บริษัทซื้อกิจการของ Wellman International (Wellman) ในทวีปยุโรป นับจากนั้นมาบริษัทก็ได้ดำเนินการรีไซเคิลขวด PET รวมถึงการผลิตเกล็ด PET รีไซเคิลเพื่อนำไปใช้ในการผลิตเส้นใยและแผ่นพลาสติกรวมถึงยังออกผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ บริษัทยังได้นำองค์ความรู้จาก Wellman มาใช้ในการขยายกำลังการผลิตที่โรงงานของบริษัทในประเทศเม็กซิโก สหรัฐฯ ไทย อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์อีกด้วย ปัจจุบันบริษัทสามารถนำเกล็ด PET รีไซเคิลมาใช้ในกระบวนการ Virgin Polymerization ได้สูงสุดถึง 30% ตามความต้องการของลูกค้า ในการนี้ บริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิต PET รีไซเคิลให้ได้ถึง 750,000 ตันต่อปีภายในปี 2568 จากประมาณ 345,000 ตันต่อปี ณ เดือนมิถุนายน 2565
โครงการการปรับปรุงคุณภาพในการทำกำไรยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง
บริษัทได้ดำเนินการตามความริเริ่มเชิงกลยุทธ์ในการปรับปรุงคุณภาพการทำกำไรโดยการซื้อกิจการจำนวนมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยกลยุทธ์ดังกล่าวมุ่งเน้นที่จะเพิ่มการใช้กำลังการผลิตและเพิ่มเสถียรภาพในการผลิตของแต่ละโรงงาน ตลอดจนการบริหารจัดการระดับสินค้าคงคลังให้เหมาะสมโดยผ่านการบริหารห่วงโซ่อุปทานไปจนถึงการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น รวมถึงใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการตลาดที่มีอยู่ทั่วโลกในการจัดจำหน่าย ในการนี้ บริษัทมีแผนจะใช้งบลงทุนประมาณ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ เพื่อดำเนินการตามกลยุทธ์ดังกล่าว (โครงการ Olympus) ในระหว่างปี 2563-2566 โดยบริษัทคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนเป็นกำไรกลับมาที่ประมาณ 610 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีภายในปี 2566 ทั้งนี้ ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทประมาณการว่ามี EBITDA เพิ่มขึ้นจำนวน 462 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากโครงการนี้
EBITDA จะเพิ่มขึ้นในปี 2565-2567
ทริสเรทติ้งประมาณการว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะค่อย ๆ กลับคืนสู่ระดับปกติตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2565 เป็นต้นไปซึ่งจะทำให้ Core EBITDA ต่อตันโดยรวมของบริษัทลดลงมาอยู่ในช่วงประมาณ 160-165 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับปี 2565 ทั้งปีจาก 182 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทอาจจะมีผลขาดทุนจากสินค้าคงคลังในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 เนื่องจากราคาของผลิตภัณฑ์หลาย ๆ ประเภทเริ่มอ่อนตัวลง ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะมี EBITDA ที่ประมาณ 9.0-9.5 หมื่นล้านบาทในปี 2565 สำหรับในช่วงปี 2566-2567 นั้นทริสเรทติ้งประมาณการว่า Core EBITDA ต่อตันของบริษัทจะยังคงปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติจากระดับที่สูงผิดปกติ ซึ่งทริสเรทติ้งได้รวมผลการดำเนินงานเต็มปีของ Oxiteno ตลอดจนการฟื้นตัวของ MTBE และประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการ Olympus ไว้ในประมาณการพื้นฐานซึ่งคาดว่า Core EBITDA ต่อตันของบริษัทจะอยู่ในช่วง 130-135 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงระหว่างปี 2566-2567 และประมาณการว่าบริษัทจะมีปริมาณการผลิตโดยรวมที่ประมาณ 15.5-16.5 ล้านตันต่อปีในช่วงปี 2566-2567 ซึ่งจะทำให้บริษัทมี EBITDA อยู่ที่ประมาณ 7-8 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567 และคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะยังคงอยู่ที่ระดับราว ๆ 3-3.5 เท่าในช่วงปี 2565-2567
มีสภาพคล่องที่เพียงพอ
ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทจะยังคงมีสภาพคล่องที่เพียงพอสำหรับการชำระหนี้ที่จะครบกำหนด โดยในช่วงระยะเวลา 12 เดือนข้างหน้านี้บริษัทมีเงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระรวมทั้งสิ้นประมาณ 3.18 หมื่นล้านบาท ในการนี้ บริษัทสามารถชำระคืนหนี้เงินกู้จำนวนนี้ได้โดยใช้เงินสดจำนวน 2.65 หมื่นล้านบาทที่มีอยู่ในมือ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 และเงินทุนจากการดำเนินงานอีกจำนวนประมาณ 5.5-6.0 หมื่นล้านบาทที่คาดว่าจะได้รับในช่วง 12 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินกู้ยืมระยะสั้นที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 7.5 หมื่นล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2565 อีกด้วย
โครงสร้างหนี้
ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีภาระหนี้รวมที่จำนวน 2.7 แสนล้านบาท (รวมหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน) โดยหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนของบริษัทประกอบด้วยหนี้ที่มีหลักประกันจำนวน 4.95 หมื่นล้านบาทและหนี้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันอีกจำนวน 5.28 หมื่นล้านบาทซึ่งเป็นหนี้ของบริษัทย่อยของบริษัท ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้ทั้งหมดของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 38% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? Core EBITDA ต่อตันจะอยู่ระหว่าง 160-165 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2565 และ 130-135 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปี 2566-2567
? ปริมาณผลผลิตรวมจะอยู่ที่ประมาณ 15.5-16.5 ล้านตันต่อปีในระหว่างปี 2565-2567
? งบลงทุนรวมซึ่งรวมการซื้อกิจการ Oxiteno จะอยู่ที่จำนวนประมาณ 1.55 แสนล้านบาทในช่วงปี 2565-2567
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งตลอดระยะเวลาประมาณการ การเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงเข้ามาในสินค้าของบริษัทจะช่วยให้บริษัทสามารถรับมือกับความผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและอนุพันธ์ได้ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะยังคงรักษาระดับอยู่ในช่วง 3-4 เท่าต่อไปได้ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2 เท่าอย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้อย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจเกิดจากการมีกำไรที่ต่ำกว่าคาดหรือบริษัทมีการซื้อกิจการมูลค่าสูงด้วยการก่อหนี้ที่สูงเกินคาด
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน (Hybrid Securities), 28 มิถุนายน 2564
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) (IVL)
อันดับเครดิตองค์กร: AA-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
IVL22DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,645 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 AA-
IVL236A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,100 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 AA-
IVL236B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 AA-
IVL243A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 AA-
IVL245A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 AA-
IVL24NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 AA-
IVL24DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,475 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 AA-
IVL256A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 AA-
IVL25NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 AA-
IVL25DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,150 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 AA-
IVL26OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 AA-
IVL26NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 AA-
IVL274A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 AA-
IVL275A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 AA-
IVL27NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 AA-
IVL27NB: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,990 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 AA-
IVL286A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 AA-
IVL28OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 AA-
IVL28NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 AA-
IVL294A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 AA-
IVL295A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 AA-
IVL306A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 AA-
IVL30NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,010 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 AA-
IVL31OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 AA-
IVL324A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575 AA-
IVL325A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575 AA-
IVL32NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575 AA-
IVL336A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2576 AA-
IVL19PA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 15,000 ล้านบาท A
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable