ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ ?BBB? จาก ?BBB-? พร้อมคงแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยการเพิ่มอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงภาระหนี้ของบริษัทที่ลดลงและผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอันเป็นผลจากภาวะตลาดขาขึ้นและค่าระวางเรือที่อยู่ในระดับสูง การเพิ่มอันดับเครดิตดังกล่าวยังสะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าอุปสงค์และอุปทานของอุตสาหกรรมจะยังคงอยู่ในสภาวะที่เอื้ออำนวยต่อไปในอีก 1-2 ปีข้างหน้าซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถลดภาระหนี้ได้มากขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับรอบการลงทุนในอนาคตหรือใช้รองรับในกรณีที่อุตสาหกรรมอยู่ในช่วงขาลงครั้งต่อไป
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทที่อยู่ในระดับสูงซึ่งเป็นธรรมชาติของอุตสาหกรรมที่มีความผันผวนและมีวงจรขึ้นลง นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่ชะลอการเติบโตของอุปทานในระยะใกล้นั้นก็เป็นปัจจัยลดทอนอันดับเครดิตด้วยเช่นกันเนื่องจากบริษัทจะมีภาระค่าใช้จ่ายในการลงทุนขนาดใหญ่ในอนาคตเพื่อปรับเปลี่ยนกองเรือ
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ภาวะอุปสงค์และอุปทานที่เอื้ออำนวย
ทริสเรทติ้งยังคงคาดว่าภาวะอุปทานของเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองจะยังคงอยู่ในระดับปานกลางโดยมีอัตราการสั่งต่อเรือใหม่ในระดับต่ำ ซึ่งความไม่แน่นอนด้านการออกแบบและเทคโนโลยีในการต่อเรือใหม่เพื่อให้รองรับกับมาตรการที่เข้มงวดยิ่งขึ้นเพื่อลดการสร้างคาร์บอนจากเชื้อเพลิง (Decarbonization) นั้นส่งผลให้การสั่งต่อเรือใหม่อยู่ในระดับต่ำ อีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อภาวะอุปทานคือความจำกัดของอู่ต่อเรือที่ขณะนี้เต็มไปด้วยคำสั่งต่อเรือ Container และเรือขนส่งน้ำมันและก๊าซ นอกจากนี้ การบังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งจะมีผลในเดือนมกราคม 2566 นี้ยังอาจส่งผลในการลดความเร็วในการเดินเรือลงและเร่งให้มีการปลดระวางเรือเก่าหรือเรือที่ไม่คุ้มค่าในการเดินเรือ
ในด้านของอุปสงค์นั้น ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครนน่าจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงเส้นทางขนส่งสินค้าและอาจสร้างประโยชน์ให้แก่อุปสงค์สินค้าแห้งเทกองในหน่วยตัน-ไมล์ (Tonne-mile) ของสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภท เช่น ถ่านหินและธัญพืชได้ในระยะสั้น ทว่าความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยทั่วโลกนั้นถือว่าเป็นปัจจัยคุกคามที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมขนส่งสินค้าแห้งเทกอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชะลอตัวของเศรษฐกิจและวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนซึ่งอาจกระทบต่อการเติบโตของอุปสงค์เรือขนส่งสินค้าแห้งเทกอง ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งมีความเห็นว่าการเติบโตของอุปสงค์ต้องพึ่งพามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดำเนินการโดยรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน
ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองว่าอุตสาหกรรมเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองนั้นมีความเสี่ยงที่สูงและเป็นปัจจัยที่จำกัดการประเมินสถานะความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทแม้ว่าภาวะอุปสงค์และอุปทานจะมีพัฒนาการที่เอื้ออำนวยในระยะสั้นก็ตาม การที่อุตสาหกรรมประกอบไปด้วยผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากนั้นทำให้เกิดภาวะอุปสงค์และอุปทานที่ไม่สมดุลบ่อยครั้งรวมถึงการเกิดภาวะอุปทานส่วนเกินในอดีต และด้วยธรรมชาติของธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนขนาดใหญ่ และไม่สามารถให้บริการที่แตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นได้ก็มักทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงในด้านของราคาซึ่งส่งผลกดดันความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการ
ปี 2565 เป็นอีกปีหนึ่งที่ดีมาก
จากมุมมองของทริสเรทติ้งที่มีต่ออุปสงค์และอุปทานในอุตสาหกรรมรวมทั้งการคาดการณ์ว่าภาวะชะงักงันอันเป็นผลจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่ค่อย ๆ คลี่คลายลงซึ่งจะผ่อนคลายข้อจำกัดและความไม่มีประสิทธิภาพด้านอุปทานลงนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดการณ์ว่าค่าระวางเรือจะลดลงสู่ภาวะปกติมากยิ่งขึ้นแต่จะยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจในอนาคตหลังจากนี้ ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานกรณี้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าค่าระวางเรือ (Time Charter Rate -- TC) โดยเฉลี่ยของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในปี 2565 และจะอยู่ในระดับปกติที่ระหว่าง 12,000-14,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในระหว่างปี 2566-2567 โดยทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงมีการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องด้วยการมีค่าใช้จ่ายในการเดินเรืออยู่ในระดับเฉลี่ยที่ประมาณ 4,800-5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในช่วงปี 2565-2567
ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีรายได้ประมาณ 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2565 และ 170-200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในระหว่างปี 2566-2567 โดยจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่จำนวน 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2565 และ 80-110 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในระหว่างปี 2566-2567 รวมทั้งจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2565 และ 70-100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในระหว่างปี 2566-2567
สถานะทางการเงินแข็งแกร่งขึ้น
ทริสเรทติ้งคาดหวังให้บริษัทใช้เงินที่ได้รับเพิ่มขึ้นในช่วงตลาดขาขึ้นนี้อย่างระมัดระวังโดยพยายามรักษาสมดุลระหว่างการลดภาระหนี้และการจ่ายผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะทยอยลดภาระหนี้ลงจนมีสถานะปลอดหนี้ในที่สุดในอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยนอกเหนือจากการซื้อเรือใหม่ 2 ลำที่มูลค่ารวม 51 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้แล้ว ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะไม่มีการลงทุนใหญ่ ๆ ในช่วงเวลาประมาณการ
ทริสเรทติ้งประเมินให้สถานะสภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่เพียงพอในระยะ 12 เดือนข้างหน้านับจากเดือนมิถุนายน 2565 ทั้งนี้ บริษัทมีภาระหนี้สินทางการเงินที่จะครบกำหนดชำระรวมประมาณ 34 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อีกทั้งยังมีแผนการลงทุนรวมที่ประมาณ 21 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจ่ายเงินปันผลอีกประมาณ 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนแหล่งสภาพคล่องหลักของบริษัทนั้นมาจากเงินสดในมือจำนวนประมาณ 57 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 และเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 165 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเนื่องจากหนี้สินทั้งหมดเป็นหนี้ที่มีหลักประกัน ทริสเรทติ้งจึงมองว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทมีความเสียเปรียบเจ้าหนี้ที่มีหลักประกันในการเรียกร้องสิทธิ์เหนือทรัพย์สินของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
ตามข้อกำหนดทางการเงินที่ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2 เท่านั้น ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.53 เท่า ซึ่งทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทน่าจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดช่วงระยะเวลาประมาณการ
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? ค่าระวางเรือโดยเฉลี่ยของบริษัทจะอยู่ประมาณ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในปี 2565 และจะอยู่ที่ระหว่าง 12,000-14,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในระหว่างปี 2566-2567
? ค่าใช้จ่ายในการเดินเรือจะอยู่ในระดับเฉลี่ยที่ประมาณ 4,800-5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในช่วงปี 2565-2567
? EBITDA จะอยู่ที่ประมาณ 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2565 และ 80-110 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในระหว่างปี 2566-2567
? ค่าใช้จ่ายลงทุนรวมจะอยู่ที่ประมาณ 52 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2565 และรวมประมาณ 1-2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในระหว่างปี 2566-2567
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าภาวะอุตสาหกรรมเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองจะยังคงเอื้ออำนวยและบริษัทจะยังมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่องต่อไป
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
โอกาสในการเพิ่มอันดับเครดิตนั้นมีจำกัดในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิต/แนวโน้มอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ และ/หรือสถานะสภาพคล่องของบริษัทถดถอยลงอย่างมาก
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) (PSL)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable