ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กร “บ. เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน” ที่ “BBB-” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 31, 2022 13:14 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB-? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่มั่นคงของบริษัทในอุตสาหกรรมบริหารจัดการของเสีย รวมถึงกระแสเงินสดที่มั่นคงจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (PPA) กับผู้ซื้อที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ. ได้รับอันดับเครดิต ?AAA/Stable? จากทริสเรทติ้ง) อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนลงจากความอ่อนไหวของบริษัทต่อสภาวะการแข่งขันที่รุนแรง นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงแนวโน้มการก่อหนี้สินทางการเงินที่จะเพิ่มขึ้นจากแผนการเติบโตขนาดใหญ่ของบริษัทในห่วงโซ่มูลค่าของธุรกิจพลังงานทางเลือกจากขยะ

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

มีสถานะธุรกิจที่มั่นคงในอุตสาหกรรมการบริหารจัดการของเสีย

บริษัทเบตเตอร์ เวิลด์ กรีนเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจบริหารจัดการของเสีย โดยเป็นที่ยอมรับในตลาดและมีประวัติการทำธุรกิจมาอย่างยาวนาน บริษัทเป็นผู้ให้บริการการบริหารจัดการของเสียอย่างครบวงจร ตั้งแต่ หลุมฝังกลบของเสีย การบำบัดน้ำเสีย เตาเผาขยะอันตราย รวมทั้งการให้คำปรึกษา และการขนส่งกากของเสีย

บริษัทให้ความสำคัญอย่างมากต่อทรัพย์สินที่ใช้ดำเนินการ โดยหลุมฝังกลบของบริษัทสามารถรับฝังกลบขยะอันตรายและขยะไม่อันตรายได้ถึง 500 ตัน และ 1,000 ตันต่อวันตามลำดับ ส่วนระบบบำบัดน้ำเสียของบริษัทสามารถรองรับการบำบัดได้ถึง 950 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน นอกจากนี้ บริษัทมีรถบรรทุกรับกากของเสียกว่า 250 คันทำให้บริษัทสามารถให้บริการลูกค้าได้ถึงสถานที่ประกอบการ อย่างไรก็ดี อัตราการใช้กำลังการผลิตโดยรวมของบริษัทอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ โดยอยู่ในช่วง 40%-60% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

มีฐานลูกค้าที่หลากหลายแต่เป็นสัญญาบริการระยะสั้น

บริษัทให้บริการลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมที่กระจายตัวอยู่ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย โดยกลุ่มลูกค้าที่ใหญ่ที่สุดคือกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีซึ่งสร้างรายได้ให้บริษัทถึงประมาณหนึ่งในสามของรายได้รวม ตามมาด้วยกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค (Fast Moving Consumer Goods, FMCG)

ห่วงโซ่มูลค่าที่สมบูรณ์ในธุรกิจพลังงานทางเลือกจากขยะ

บริษัทขยายกิจการสู่ธุรกิจพลังงานอย่างมีกลยุทธ์โดยอาศัยข้อได้เปรียบในการเข้าถึงขยะอุตสาหกรรมที่รับมาจากลูกค้าในธุรกิจจัดการของเสียของบริษัท โดยบริษัทถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มธุรกิจพลังงานทางเลือกจากขยะอุตสาหกรรมของประเทศด้วยการผลิต ?ผลิตภัณฑ์ทดแทนเชื้อเพลิง? (Solid Recovered Fuel -- เชื้อเพลิง SRF) ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ต้องใช้ในการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม ทั้งนี้ บริษัทได้ทำให้ห่วงโซ่มูลค่าของธุรกิจพลังงานทางเลือกจากขยะของบริษัทครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือกจากขยะอุตสาหกรรมจำนวน 3 แห่ง

โรงไฟฟ้าของบริษัทจัดหาเชื้อเพลิง SRF ผ่านสัญญาซื้อขายระยะยาวภายในกลุ่ม ซึ่งบริษัทได้พิสูจน์แล้วว่ามีศักยภาพที่จะใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบที่มีอยู่จำนวนมากของบริษัทในการผลิตเชื้อเพลิง SRF ทั้งนี้ บริษัทมีโรงงานผลิตเชื้อเพลิง SRF อยู่ 3 แห่งและมีกำลังการผลิตรวม 1,000 ตันต่อวัน โดยสถานที่ตั้งนั้นอยู่ใกล้เคียงกับโรงไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดสองแห่งของบริษัทที่อยู่ในจังหวัดสระบุรีและพระนครศรีอยุธยา

ในมุมมองของทริสเรทติ้ง การที่กลุ่มบริษัทขยายกิจการไปยังธุรกิจปลายน้ำตามห่วงโซ่มูลค่าของธุรกิจพลังงานทางเลือกจากขยะนี้ช่วยทำให้กำไรโดยรวมของบริษัทมีความมั่นคงขึ้น โดยธุรกิจผลิตไฟฟ้าช่วยบรรเทาความผันผวนของกำไรในธุรกิจบริหารจัดการของเสียซึ่งมีการแข่งขันที่รุนแรงและมีโอกาสการเติบโตที่จำกัด

การเติบโตในธุรกิจไฟฟ้าช่วยให้กำไรมีเสถียรภาพ

บริษัทดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าผ่าน บริษัท เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ETC (ได้รับอันดับเครดิต ?BBB-/Stable? จากทริสเรทติ้ง) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ทั้งนี้ ETC เป็นบริษัทหลักของกลุ่มสำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือกจากขยะ ซึ่งเป็นเจ้าของและดำเนินงานโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 3 แห่งภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (Very Small Power Producer -- VSPP) และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟภ. รวม 16.5 เมกะวัตต์

สัดส่วนกำไรที่มาจากธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าเติบโตขึ้นจาก 176 ล้านบาท เป็น 760 ล้านบาทในช่วงปี 2560-2564 จากการทยอยเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าแห่งแรกขนาด 8 เมกะวัตต์ ในปี 2560 และอีก 8.6 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าอีก 2 แห่งในช่วงปลายปี 2562 ทั้งนี้ กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากธุรกิจไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นเป็น 370 ล้านบาทในปี 2564 คิดเป็นประมาณสองในสามของ EBITDA รวมของบริษัท อย่างไรก็ดี ณ ปัจจุบัน บริษัทได้ตัดสินใจที่จะขายหุ้นใน ETC ที่ถืออยู่ทางอ้อม ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นลดลงเหลือ 44% นอกจากนี้ ETC ก็กำลังอยู่ในช่วงพิจารณาการเพิ่มทุนโดยการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อผู้ลงทุนเป็นการเฉพาะเจาะจงซึ่งอาจจะทำให้การถือหุ้นใน ETC โดยบริษัทนั้นถูกลดทอนสัดส่วนลง อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังสามารถรักษาอำนาจควบคุมส่วนใหญ่เหนือ ETC ไว้ได้

?

ผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและการแข่งขันต่อกำไร

EBITDA จากธุรกิจบริหารจัดการของเสียของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา จากประมาณการของทริสเรทติ้ง EBITDA จากธุรกิจบริหารจัดการของเสียจะอยู่ที่ระดับ 216 ล้านบาทในปี 2564 เทียบกับปี 2561 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 645 ล้านบาท ทั้งนี้ แม้บริษัทจะเป็นเป็นผู้นำในธุรกิจนี้ แต่บริษัทก็ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันจากคู่แข่งรายเล็กที่สามารถให้บริการด้วยราคาที่ถูกกว่าโดยยอมลดมาตรฐานของบริการลง

ธุรกิจหลักของบริษัทขึ้นอยู่กับภาวะการผลิตของภาคอุตสาหกรรมในประเทศ เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในช่วงปี 2562 จนถึงครึ่งแรกของปี 2565 (จากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศจีน การเกิดโรคระบาด รวมไปถึงความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนในปี 2565) ได้ทำให้ผู้ผลิตอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ต้องอยู่ในสภาวะประหยัดต้นทุน โดยบริษัทเองก็ถูกบังคับให้ต้องเลือกระหว่างการปรับลดราคาค่าบริการลงหรือยอมเสียส่วนแบ่งการตลาดจากการที่ลูกค้าย้ายไปใช้บริการจากผู้ให้บริการจัดการของเสียที่มีราคาถูกกว่า

บริษัทได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในช่วงสภาวะโรคระบาด ซึ่งทำให้ผลประกอบการชะลอตัวลงอย่างมากในช่วงปี 2563-2564 ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับลดราคาค่าบริการลงอย่างมากถึง 13.2% ในปี 2564 แต่ก็สามารถเพิ่มปริมาณการให้บริการกำจัดของเสียได้ถึง 37.8% ในปีเดียวกัน นอกเหนือจากสภาวะการแข่งขันแล้ว บริษัทยังได้เผชิญกับอุบัติเหตุในการดำเนินงานที่สถานประกอบการในจังหวัดสระบุรีซึ่งทำให้การบริการบำบัดน้ำเสียต้องหยุดชะงัก ความเสียหายนี้ทำให้อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) ลดลงเหลือ 15% ในปี 2564 จาก 26% ในปี 2563

ธุรกิจหลักของบริษัทอยู่ในสภาวะกดดัน

การฟื้นของเศรษฐกิจที่เปราะบางซึ่งถูกกดดันจากเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นบดบังโอกาสในการเติบโตของภาคการผลิตภายในประเทศรวมถึงภาคการส่งออกด้วย ในช่วงปี 2565-2567 ทริสเรทติ้งคาดว่าการเติบโตในธุรกิจบริหารจัดการของเสียค่อนข้างจำกัดทั้งในแง่ปริมาณและราคาค่าบริการ โดยคาดว่ารายได้จากธุรกิจบริหารจัดการของเสียจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเป็น 1.5 พันล้านบาทในช่วงปี 2565-2567 อันเนื่องมาจากสภาวะการแข่งขันที่มีมาอย่างต่อเนื่อง

กำไรมีความอ่อนไหวต่อราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น

กำไรของบริษัทมีความอ่อนไหวอย่างมากต่อราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น สำหรับธุรกิจบริหารจัดการของเสีย ต้นทุนน้ำมันดีเซลที่ใช้ในการขนส่งของเสียรวมถึงต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในเตาเผาขยะ ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 อย่างไรก็ดี เนื่องจากสัญญาบริการส่วนมากเป็นสัญญาระยะสั้นบริษัทจึงสามารถส่งผ่านราคาต้นทุนที่สูงขึ้นนี้ได้แม้จะเพียงบางส่วนเท่านั้น เพื่อที่จะยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดเอาไว้

สำหรับธุรกิจผลิตไฟฟ้านั้น การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตเชื้อเพลิง SRF นั้นถูกส่งผ่านกันภายในกลุ่มไปสู่โรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมทั้ง 3 แห่งของบริษัท ดังนั้น EBITDA Margin ของธุรกิจไฟฟ้าจะยังคงถูกกดดันต่อไปเนื่องจากราคาค่าไฟฟ้าตามโครงสร้างสัญญาของ VSPP ที่ปรับตามอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานแต่จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามราคาน้ำมันดีเซล

การก่อหนี้สินทางการเงินจะสูงขึ้นจากการขยายธุรกิจ

อันดับเครดิตของบริษัทถูกฉุดรั้งอย่างมากจากแนวโน้มที่กลุ่มบริษัทจะมีการก่อหนี้ในระดับสูงในช่วงเวลาอันใกล้นี้ โดยบริษัทมีแผนการเติบโตอย่างมุ่งมั่นในการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าให้เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าร่วมการประมูลโรงไฟฟ้าขยะเพิ่มเติมด้วยเป้าหมายการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่จำนวนมาก จากสมมติฐานกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะลงทุนในโรงไฟฟ้าจำนวน 4 โครงการ ด้วยกำลังการผลิตโครงการละ 9.9 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ บริษัทจะต้องสร้างโรงงานผลิตเชื้อเพลิง SRF เพิ่มเติมเพื่อรองรับความต้องการที่จะเพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้าแห่งใหม่เหล่านี้ด้วย

ทริสเรทติ้งคาดว่ากลุ่มบริษัทจะต้องใช้เงินรวมจำนวน 6.5 พันล้านบาทในการขยายกิจการตลอดช่วงปี 2566-2568 โดยการลงทุนจะกระจุกตัวในช่วงปี 2567 ราว 3.6 พันล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทยังคงถือเงินส่วนมากที่ได้มาจากการเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรก (IPO) ของ ETC ในปี 2563 จำนวน 1.5 พันล้าน โดยทริสเรทติ้งคาดว่าเงินจำนวนนี้จะทยอยหมดไปในช่วงก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ จากสมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้ง EBITDA รวมของบริษัทจะอยู่ในช่วง 660-700 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567 และจะปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไปเมื่อโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนจากขยะเริ่มเปิดดำเนินการ

ด้วยอัตราการขยายกิจการระดับนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 6.4 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะเพิ่มขึ้นเป็น 45% ในปี 2567 อีกทั้งยังคาดว่าหนี้สินสุทธิของบริษัทจะเพิ่มขึ้นไปสูงสุดที่ 5.6 พันล้านบาทในปี 2568 อย่างไรก็ดี ระดับหนี้สินทางการเงินจะทยอยลดลงหลังจากโรงไฟฟ้าแห่งใหม่เริ่มเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ซึ่งยังคงมีความเสี่ยงของการก่อสร้างตลอดช่วง 2 ปีในการพัฒนาโครงการ

สภาพคล่องส่วนเกินช่วงก่อนเริ่มขยายกิจการ

ทริสเรทติ้งประเมินว่า ระดับสภาพคล่องในปัจจุบันของบริษัทนั้นมีมากกว่าภาระทางการเงินของบริษัทในช่วงระยะเวลาอันใกล้ก่อนที่การลงทุนครั้งใหม่จะเริ่มต้นขึ้นในช่วงกลางปี 2566 ทั้งนี้ เงินที่ได้จาก IPO ของ ETC เป็นแหล่งที่มาของสภาพคล่องส่วนเกินดังกล่าว

แหล่งเงินทุนของบริษัท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 ประกอบด้วยเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดรวมถึงการลงทุนระยะสั้นจำนวน 1.9 พันล้านบาท รวมทั้งวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 327 ล้านบาท อีกทั้งทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 490-520 ล้านบาท ดังนั้นแล้ว เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดรวมทั้งเงินทุนจากการดำเนินงานจึงคาดว่าน่าจะเพียงพอสำหรับค่าใช่จ่ายลงทุนเพื่อการซ่อมบำรุงและชำระหนี้สินทางการเงินในช่วง 12 เดือนข้างหน้าซึ่งมียอดรวมทั้งสิ้น 1.0 พันล้านบาท

?

โครงสร้างเงินทุน

ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีภาระหนี้ที่ไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่ารวม 1.91 พันล้านบาท โดยมีหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนรวมจำนวน 1.91 พันล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วยหนี้ที่มีหลักประกันทั้งหมดจำนวน 1.88 พันล้านบาท และหนี้สินที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทย่อยจำนวน 0.03 พันล้านบาท ทั้งนี้ อัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้ทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 98.7% สะท้อนว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบกว่าเจ้าหนี้ที่มีหลักประกันอย่างมีนัยสำคัญในกรณีที่ต้องมีการเรียกร้องอ้างสิทธิต่อทรัพย์สินของบริษัท

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? รายได้จากการดำเนินงานในธุรกิจบริหารจัดการของเสียประมาณ 1.5 พันล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2565-2567

? EBITDA Margin ของธุรกิจบริหารจัดการของเสียอยู่ในช่วง 19%-24% ในปี 2565-2567 ฟื้นตัวจาก 15% ในปี 2564

? อัตราความพร้อมจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งอยู่ที่ประมาณ 89% ในช่วงปี 2565-2567

? กลุ่มบริษัทลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนจากขยะจำนวน 4 แห่งโดยมีกำลังการผลิตติดตั้งแห่งละ 9.9 เมกะวัตต์และลงทุนในโรงงานผลิตเชื้อเพลิง SRF แห่งใหม่ด้วยกำลังการผลิต 1,000 ตันต่อวัน

? ค่าใช้จ่ายในการลงทุนเพื่อซ่อมบำรุงและเพื่อขยายกิจการไปยังธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนจากขยะรวมทั้งหมด 7.2 พันล้านบาทในช่วงปี 2565-2568

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าโรงไฟฟ้าของกลุ่มจะยังคงมีผลประกอบการในระดับที่น่าพอใจ และที่สำคัญไม่แพ้กันคือทริสเรทติ้งคาดหมายว่ากำไรจากธุรกิจบริหารจัดการของเสียจะทยอยฟื้นตัวในช่วงปี 2565-2567 เพื่อชดเชยระดับการก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากการขยายธุรกิจการผลิตไฟฟ้าจากขยะ นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาอำนาจควบคุมส่วนใหญ่เหนือ ETC เอาไว้ได้ แม้ว่าจะมีการตัดสินใจขายหุ้นใน ETC ที่บริษัทถืออยู่ทางอ้อมออกไป อีกทั้งยังคาดว่าค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนของบริษัทจะอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

ปัจจัยที่จะทำให้อันดับเครดิตได้รับการปรับเพิ่มขึ้นนั้นยังมีจำกัดในระยะอันใกล้โดยพิจารณาจากการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของระดับการก่อหนี้สินทางการเงินในช่วงเวลาอันใกล้นี้ อย่างไรก็ดี การปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจมาจากการที่บริษัทสามารถสร้างกำไรได้เพิ่มขึ้นอย่างมากซึ่งอาจเกิดจากการมีกระแสเงินสดที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและมั่นคงขึ้นทั้งจากธุรกิจไฟฟ้าและ/หรือการฟื้นตัวของความสามารถในการทำกำไรจากธุรกิจบริหารจัดการของเสีย

ในทางตรงกันข้าม แรงกดดันที่ทำให้มีการปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดจากกำไรจากธุรกิจบริหารจัดการของเสียที่อ่อนตัวลงลงและ/หรือโรงไฟฟ้ามีผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ หากบริษัทมีแผนการลงทุนในระดับสูง จนภาระหนี้สินสูงกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ ก็อาจจะส่งผลให้มีการปรับลดอันดับเครดิตลงได้เช่นกัน

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) (BWG)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB-

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ