ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ มีแหล่งรายได้ที่มีความหลากหลาย ตลอดจนภาระหนี้ที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูงในช่วงการแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19)
นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความยืดหยุ่นทางการเงินจากการที่บริษัทมีเงินลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์มูลค่าสูง และความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับภาระหนี้ภาคครัวเรือนภายในประเทศที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูงและอัตราเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยและต้นทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นในระยะสั้นถึงปานกลางอีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
แบรนด์มีความแข็งแกร่งและมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ
ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดบ้านจัดสรร รายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายของบริษัทปรับเพิ่มมาอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาทในปี 2564 จาก 2.5 หมื่นล้านบาทในปี 2562 ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อของโรคโควิด 19 รายได้ของบริษัทเป็น 1 ใน 3 อันดับแรกของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขณะที่รายได้ในส่วนนี้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 อยู่ที่ 1.53 หมื่นล้านบาททรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งทริสเรทติ้งมองว่าแบรนด์ที่แข็งแกร่งของบริษัทในแง่คุณภาพสินค้าและบริการหลังการขายนั้น ช่วยหนุนยอดขายของบริษัทได้ ถึงแม้ว่าตลาดจะอยู่ในช่วงที่ซบเซาก็ตาม
รายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ 3.1-3.3 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567 โดยเป็นรายได้จากโครงการบ้านจัดสรรมากกว่า 80% ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยระหว่างการพัฒนาจำนวน 74 โครงการซึ่งมีมูลค่าเหลือขายโดยรวม 5 หมื่นล้านบาท (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง) โครงการบ้านจัดสรรมีสัดส่วน 82% ของมูลค่าเหลือขาย ส่วนที่เหลือเป็นโครงการคอนโดมิเนียม บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้มูลค่า 4.4 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 ซึ่งคาดว่าจะส่งมอบให้แก่ลูกค้าได้ในช่วงที่เหลือของปี 2565
ผลการดำเนินงานฟื้นตัวในอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า
ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าของบริษัทได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อของโรคโควิด 19 รายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าของบริษัทอยู่ที่ 2.4 พันล้านบาทในปี 2563 และลดลงเหลือเพียง 1.8 พันล้านบาทในปี 2564 เปรียบเทียบกับ 4.9 พันล้านบาทในปี 2562 ขณะที่รายได้ค่าเช่าปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.6 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 จากการคลี่คลายของโรคโควิด 19 โดยอัตราการเช่าและค่าเช่าพื้นที่ของโรงแรมและศูนย์การค้าปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา รายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) ของโรงแรมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,300-1,800 บาทต่อคืนจาก 600-800 บาทต่อคืนในปี 2564 แต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาดของโรคโควิด 19 ที่ 2,500-3,000 บาทต่อคืน ในขณะที่รายได้จากค่าเช่าพื้นที่ของศูนย์การค้าอยู่ที่ 519 ล้านบาทในปี 2563 และลดลงเหลือเพียง 258 ล้านบาทในปี 2564 แล้วปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 220 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 เปรียบเทียบกับประมาณ 1 พันล้านบาทในปี 2562
จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ทริสเรทติ้งจึงประมาณการรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าของบริษัทอยู่ที่ 2.8 พันล้านบาทในปี 2565 หรือประมาณ 56% ของรายได้ส่วนนี้ในปี 2562 แล้วจึงปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.1 พันล้านบาทในปี 2566 และ 4.5 พันล้านบาทในปี 2567 โดยรายได้ค่าเช่าที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นนั้นมาจากการเปิดให้บริการโรงแรม ?แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา? ในเดือนสิงหาคม 2565 และศูนย์การค้า ?เทอร์มินอล 21 พระราม 3? ในเดือนตุลาคม 2565 ซึ่งทั้ง 2 แห่งมีการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
นอกจากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าในประเทศไทยแล้ว บริษัทยังมีการลงทุนในอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าอีก 3 แห่งและโรงแรม 1 แห่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งรายได้จากอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าและโรงแรมในประเทศสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 900 ล้านบาทต่อปีโดยมีอัตราการเช่าเฉลี่ยประมาณ 90% บริษัทมีนโยบายในการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าแล้วปรับปรุงเพิ่มอัตราการเช่า จากนั้นจะนำอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวจำหน่ายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust -- REIT) หรือขายให้นักลงทุน ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวช่วยทำให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ รวมทั้งรับรู้กำไรได้เร็วขึ้น บริษัทมีกำไรจากการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าประมาณ 1.3-2.4 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2558-2562 อย่างไรก็ตาม แผนการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าของบริษัทต้องล่าช้าออกไปเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
มีแหล่งรายได้หลากหลายช่วยพยุงผลกำไรในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ
อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) ของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 35%-37% ในช่วงปี 2563 ถึงครึ่งแรกของปี 2565 จากระดับเกินกว่า 40% ในปี 2562 เนื่องจากผลขาดทุนในการดำเนินงานธุรกิจโรงแรมและเงินปันผลที่ต่ำกว่าปกติจากบริษัทในเครือ อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน ถึงแม้ว่าธุรกิจโรงแรมจะมีผลขาดทุนแต่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทก็ยังอยู่ที่ประมาณ 1.1-1.2 หมื่นล้านบาทต่อปีในปี 2563-2564 และ 6.4 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ซึ่ง EBITDA Margin ของบริษัทในช่วง 2 ปีที่ผ่านมายังคงสูงกว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายอื่น ๆ ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยทริสเรทติ้งซึ่งมี EBITDA Margin อยู่ที่ 20%-25% ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยที่ประมาณ 20% ของ EBITDA ของบริษัทมาจากเงินปันผลรับจากเงินลงทุนของบริษัท
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทถือหุ้นในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 4 แห่งซึ่งประกอบด้วย บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (HMPRO) บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (QH) บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (LHFG) และ บริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดัคส์ จำกัด (มหาชน) (Q-CON) บริษัทจึงมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 2.5-3.4 พันล้านบาทต่อปี ขณะเดียวกันก็ยังมีเงินปันผลรับอีกประมาณ 2.0-2.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งบริษัทมีแผนจะขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า 1-2 แห่งในช่วงปี 2566-2567 และคาดว่าจะมีกำไรจากการขายอยู่ที่ 0.8-1.2 พันล้านบาทต่อปี ดังนั้น EBITDA Margin ของบริษัทคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นจาก 36% ในปี 2565 ไปเป็น 38%-40% ในช่วงปี 2566-2567
ภาระหนี้ที่ค่อนข้างสูง
ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีภาระหนี้อยู่ในระดับค่อนข้างสูง เนื่องจาก EBITDA Margin ที่ลดลงและความล่าช้าในการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นและทรงตัวอยู่ที่ระดับ 53% ในช่วงสิ้นปี 2563 ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2565 ซึ่งเพิ่มจาก 47% ในปี 2562 รวมถึงอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทก็ลดลงจากระดับมากกว่า 20% ในปี 2562 เหลือเพียง 14%-15% ในช่วงระหว่างปี 2563 ถึงครึ่งแรกของปี 2565 เงื่อนไขทางการเงินหลักของหุ้นกู้กำหนดให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนไม่ให้เกินกว่า 1.5 เท่า อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.97 เท่า ณ เดือนมิถุนายน 2565 ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถบริหารโครงสร้างทางการเงินให้เป็นไปตามเงื่อนไขทางการเงินของหุ้นกู้ต่อไปได้ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวม ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 อยู่ที่ระดับ 29%
ผลการดำเนินงานของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นและแผนการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าจะช่วยลดภาระหนี้ของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะลดลงต่ำกว่า 50% ในปี 2566 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นจาก 16% ในปี 2565 ไปอยู่ที่ประมาณ 20%-23% ในปี 2566-2567 ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จะอยู่ที่ระดับไม่เกิน 5 เท่าเมื่อพิจารณาจากการตั้งงบในการซื้อที่ดินประมาณ 4-5 พันล้านบาทต่อปีและวางแผนจะเปิดโครงการใหม่มูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านบาทในปีนี้ และประมาณ 2.5-3 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567 นอกจากนี้ งบลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าคาดว่าจะอยู่ที่ 4.6 พันล้านบาทในปี 2565 3.7 พันล้านบาทในปี 2566 และอีกประมาณ 2.0 พันล้านบาทในปี 2567
สภาพคล่องที่เพียงพอเสริมด้วยความยืดหยุ่นทางการเงินจากการมีเงินลงทุนในหลักทรัพย์
ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทมีสภาพคล่องทางการเงินที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีเงินสดและเงินลงทุนชั่วคราวจำนวน 5.1 พันล้านบาทและยังมีวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 1.4 หมื่นล้านบาท ทริสเรทติ้งยังคาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ 0.9-1.0 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้ามีจำนวน 1.68 หมื่นล้านบาทซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระจำนวน 1.24 หมื่นล้านบาท เงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 3.5 พันล้านบาท เงินกู้ยืมโครงการจำนวน 0.2 พันล้านบาท และหนี้สินตามสัญญาเช่าอีกจำนวน 0.7 พันล้านบาท โดยปกติแล้วบริษัทจะออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระ อย่างไรก็ตาม บริษัทวางแผนจะใช้วงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้เป็นแหล่งเงินสำรองสำหรับจ่ายชำระหนี้ระยะสั้นทั้งหมด นอกจากนี้ ความสามารถในการเข้าถึงตลาดทุนและการมีเงินลงทุนในหลักทรัพย์สภาพคล่องสูงจำนวนมากยังช่วยสนับสนุนสภาพคล่องของบริษัทในกรณีที่จำเป็นได้อีกด้วย
ทั้งนี้ ณ เดือนมิถุนายน 2565 มูลค่าตลาดของเงินลงทุนในบริษัทร่วมทั้ง 4 บริษัท (HMPRO QH LHFG และ Q-CON) อยู่ที่ 6.24 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 1.02 เท่าของภาระหนี้คงค้างของบริษัท ทริสเรทติ้งมองว่ามูลค่าของเงินลงทุนในบริษัทจดทะเบียนดังกล่าวนั้นขึ้นอยู่กับสภาวการณ์และความผันผวนของตลาด อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งก็มีความเห็นว่ามูลค่าของเงินลงทุนดังกล่าวยังช่วยสนับสนุนความสามารถในการจ่ายชำระหนี้ของบริษัทได้
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? บริษัทจะเปิดขายโครงการที่อยู่อาศัยในปี 2565 รวมมูลค่า 2.96 หมื่นล้านบาทซึ่งประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรรมูลค่า 2.88 หมื่นล้านบาทและคอนโดมิเนียมมูลค่า 0.8 พันล้านบาท โดยในอนาคตบริษัทจะเปิดขายโครงการที่อยู่อาศัยใหม่มูลค่าประมาณ 2.5-3.0 หมื่นล้านบาทต่อปี
? รายได้รวมจะอยู่ในช่วง 3.5-3.7 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567
? อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมจะอยู่ที่ประมาณ 32%-33% และ EBITDA Margin อยู่ที่ 36%-40%
? งบในการซื้อที่ดินจะอยู่ที่ 4-5 พันล้านบาทต่อปีใน 3 ช่วงปีข้างหน้า
? เงินลงทุนสำหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าคาดว่าจะอยู่ที่ 4.6 พันล้านบาทในปี 2565 3.8 พันล้านบาทในปี 2566 และ 2.0 พันล้านบาทในปี 2567
? บริษัทวางแผนขายโรงแรมในปี 2566 และขายศูนย์การค้าในปี 2567
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดที่เข้มแข็ง รวมถึงจะรักษาระดับยอดขายที่อยู่อาศัยและผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง อีกทั้งจะรักษาสถานะทางการเงินให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ต่อไป ทั้งนี้ บริษัทควรจะดำรงอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้อยู่ที่ประมาณ 50% หรืออัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ที่ระดับต่ำกว่า 5 เท่า
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากโครงสร้างเงินทุนของบริษัทดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน โดยที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จะอยู่ในระดับต่ำกว่า 3 เท่าอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ผลการดำเนินงานยังคงแข็งแกร่งเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่น ๆ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทลดลงจากระดับปัจจุบัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH)
อันดับเครดิตองค์กร: A+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
LH235A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A+
LH235B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A+
LH23OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A+
LH244A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A+
LH244B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A+
LH24OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 8,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A+
LH24OB: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,150 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A+
LH254A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A+
LH254B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A+
LH25OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,250 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable