ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น” ที่ “BBB” แนวโน้ม “Positive”

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday November 25, 2022 09:35 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB? ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทยังคงเป็น ?Positive? หรือ ?บวก? ซึ่งสะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่ากระแสเงินสดของบริษัทเมื่อเทียบกับภาระหนี้จะปรับตัวดีขึ้น

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสินทรัพย์ในการผลิตไฟฟ้าของบริษัทที่มีขนาดใหญ่และมีการกระจายตัวที่ดี รวมถึงกระแสเงินสดที่มีความมั่นคงในระดับสูงโดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวเป็นปัจจัยสนับสนุน ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนลงจากความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจในประเทศเวียดนามและการแข่งขันในอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

มีสินทรัพย์ในการผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่และกระจายตัวดี

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสินทรัพย์โรงไฟฟ้าของบริษัทที่มีขนาดใหญ่และมีการกระจายตัวที่ดี ปัจจุบันบริษัทมีโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วจำนวนมากกว่า 100 แห่งในหลากหลายสถานที่ตั้งโดยมีกำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 1,472 เมกะวัตต์ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (1,404 เมกะวัตต์) ทริสเรทติ้งเห็นว่าการมีโครงการโรงไฟฟ้าจำนวนมากนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นคงให้แก่กำไรของบริษัทในภาพรวมอีกทั้งยังช่วยสร้างความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัทอีกด้วย

ทริสเรทติ้งคาดว่ากำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมของโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 เมกะวัตต์ในปี 2567 โดยในกรณีฐานนั้นบริษัทน่าจะหาสัญญาใหม่เพิ่มขึ้นอีก 120 เมกะวัตต์ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะต้องใช้เวลากว่าจะเริ่มสร้างเงินสด ดังนั้น โครงการที่อยู่ในแผนอยู่แล้วของบริษัทจึงน่าจะเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเติบโตของบริษัทในระยะเวลาอันใกล้

มีกระแสเงินสดที่มีความมั่นคงในระดับสูง

โรงไฟฟ้าของบริษัทสร้างกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ในระดับสูงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยโรงไฟฟ้าเกือบทุกแห่งของบริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับผู้ผลิตและผู้จ่ายกระแสไฟฟ้าที่เป็นหน่วยงานภาครัฐซึ่งทำให้บริษัทมีความเสี่ยงในด้านคู่สัญญาในระดับต่ำ นอกจากนี้ ความเสี่ยงด้านการดำเนินงานที่อยู่ในระดับต่ำของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นสินทรัพย์หลักของบริษัทก็ยังช่วยรักษาอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) ของบริษัทให้ทรงตัวอยู่ในระดับสูงและมั่นคงที่ระดับเกินกว่า 80%

ขนาดของกระแสเงินสดเพิ่มสูงขึ้น

เนื่องจากบริษัทมีการขยายสินทรัพย์โรงไฟฟ้ามาโดยตลอด รายได้และกำไรของบริษัทจึงเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ในอนาคตทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะยังคงเติบโตต่อเนื่องเมื่อพิจารณาถึงโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาจำนวนมาก โดยในกรณีฐานนั้น EBITDA ของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 9 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567 จาก 8 พันล้านบาทในปี 2565

การแข่งขันในธุรกิจผลิตไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น

กลยุทธ์การเติบโตของบริษัทน่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ ภายใต้เป้าหมายของภาครัฐที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero Greenhouse Gas Emission) ทริสเรทติ้งก็มองเห็นถึงโอกาสการเติบโตสำหรับพลังงานหมุนเวียนโดยคาดหวังถึงการเปิดโควตารับซื้อพลังงานหมุนเวียนรอบใหม่ อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในธุรกิจผลิตไฟฟ้าภายในประเทศนั้นเพิ่มสูงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าไทยหลายแห่งซึ่งรวมถึงบริษัทจึงหันไปลงทุนในต่างประเทศกันมากขึ้น ซึ่งแม้จะมีโอกาสเติบโตมากกว่าแต่การขยายธุรกิจไปในต่างประเทศบางแห่งก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่าเช่นกัน ทริสเรทติ้งมองเห็นการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นในขณะที่ราคาจำหน่ายไฟฟ้ากลับมีแนวโน้มที่ลดต่ำลงในประเทศต่าง ๆ ที่มีการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศเพื่อลงทุนในการผลิตไฟฟ้า

มีการเปิดรับความเสี่ยงในประเทศเวียดนามเป็นอย่างมาก

บริษัทมีความเสี่ยงจากการลงทุนในประเทศเวียดนามจำนวนมาก ปัจจุบันโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศเวียดนามมีกำลังการผลิตคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของกำลังการผลิตรวมของบริษัท ทั้งนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาประเทศเวียดนามได้เปิดโอกาสสำหรับการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนเป็นอย่างมาก เวียดนามเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถรองรับการเติบโตของพลังงานหมุนเวียนได้เป็นอย่างดีจากแนวชายฝั่งที่ทอดยาว ลมที่มีกำลังแรง และแสงแดดที่มีช่วงเวลาระหว่างวันยาวนาน และจากความต้องการไฟฟ้าจำนวนมาก ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะยังคงขยายการลงทุนในประเทศเวียดนามต่อไปในระยะไม่กี่ปีข้างหน้านี้

ในทางตรงกันข้าม การลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศเวียดนามก็กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากความไม่ชัดเจนของแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศและนโยบายด้านราคารับซื้อไฟฟ้าใหม่สำหรับพลังงานหมุนเวียน ในขณะที่ทริสเรทติ้งก็มองว่าสถานะเครดิตของการไฟฟ้าเวียดนาม (Vietnam Electricity -- EVN) ที่รัฐเป็นผู้ถือหุ้นนั้นไม่แข็งแกร่งเท่ากับผู้รับซื้อไฟฟ้าในประเทศไทยที่รัฐเป็นเจ้าของ นอกจากนี้ ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศเวียดนามก็มีความเสี่ยงที่จะถูกจำกัดการรับซื้อจากระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่ไม่สามารถรองรับได้อย่างเพียงพอ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าความเสี่ยงในการถูกจำกัดปริมาณรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวจะลดลงเนื่องจากรัฐบาลเวียดนามกำลังทุ่มเทความพยายามในการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคของประเทศเพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น

โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดยังไม่ได้เปิดดำเนินงาน

โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมหลายแห่งในประเทศเวียดนามรวมถึงโครงการแห่งหนึ่งที่บริษัทเป็นเจ้าของและเป็นผู้พัฒนาได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) เป็นอย่างมาก โดยโครงการเหล่านี้ต้องเผชิญกับความล่าช้าของห่วงโซ่อุปทานการผลิตส่วนประกอบหลักต่าง ๆ อุปสรรคในการเคลื่อนย้ายแรงงาน รวมถึงประเด็นอื่น ๆ ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนักจนส่งผลให้ไม่สามารถก่อสร้างได้ทันกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้า (FiT) ในเดือนพฤศจิกายน 2564 และทำให้โครงการเหล่านี้ยังไม่สามารถดำเนินการจ่ายไฟได้จากการที่ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับ FiT ใหม่

ทริสเรทติ้งคาดว่ารัฐบาลเวียดนามจะสรุป FiT ใหม่แล้วเสร็จและโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Soc Trang ขนาด 30 เมกะวัตต์ของบริษัทที่สร้างเสร็จแล้วจะเริ่มจ่ายไฟในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 ด้วย FiT ที่ต่ำลง แต่บริษัทไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนักจากการมีสินทรัพย์โรงไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่ในปัจจุบัน

ระดับการก่อหนี้ยังควบคุมได้

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาทตลอดระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า โดยโครงการหลัก ๆ ของบริษัทประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานลมจำนวน 5 แห่ง (466 เมกะวัตต์) และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะจำนวน 4 แห่ง (46 เมกะวัตต์) ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากผู้รับเหมาก่อสร้างสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศเวียดนาม โดยบริษัทจะจ่ายค่าก่อสร้างส่วนใหญ่คืนภายหลังจากที่โครงการได้เปิดดำเนินงานแล้วซึ่งจะช่วยให้ระดับการก่อหนี้ของบริษัทยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้

ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นไปที่ 7 เท่าในช่วงประมาณการ อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวน่าจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 6 เท่าหลังจากโครงการใหม่ ๆ เริ่มสร้างกระแสเงินสด อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 10% และอัตราส่วน EBITDA ต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 3 เท่าในช่วงประมาณการ ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะทรงตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 70%

ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะควบคุมระดับการก่อหนี้อย่างระมัดระวัง ทั้งนี้ บริษัทพยายามจะลดระดับการก่อหนี้ลงโดยอยู่ระหว่างดำเนินการในการจำหน่ายหุ้นในสัดส่วน 49% ในบริษัทแห่งหนึ่งที่เป็นเจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงทิตย์จำนวน 9 แห่งในประเทศเวียดนามแก่ AC Energy Corporation ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจของบริษัท และบริษัทคาดว่าจะได้รับเงิน 165 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นประมาณ 6 พันล้านบาท โดยเงินจำนวนนี้จะถูกนำไปใช้ชำระหนี้และขยายธุรกิจต่อไป ทั้งนี้ หากรายการดังกล่าวสำเร็จลุล่วง ระดับหนี้ของบริษัทน่าจะลดต่ำลงอย่างมีสาระสำคัญ และจากการที่มีสินทรัพย์โรงไฟฟ้าจำนวนมากบริษัทก็อาจพิจารณาจำหน่ายเงินลงทุนในโครงการออกไปบางส่วนหรือจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเป็นทางเลือกในการลดภาระหนี้สินได้ในช่วงของการขยายธุรกิจ

โครงสร้างหนี้

ณ เดือนกันยายน 2565 หนี้เงินกู้รวมของบริษัทมีจำนวนทั้งสิ้น 5.71 หมื่นล้านบาท โดยจำนวน 5 หมื่นล้านบาทเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน (Priority Debt) ซึ่งประกอบด้วยหนี้ของบริษัทเฉพาะส่วนที่มีหลักประกันและหนี้ทั้งหมดของบริษัทย่อย ทำให้อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 87% ส่งผลให้เจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบกว่าเจ้าหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนอย่างมีนัยสำคัญเมื่อพิจารณาจากสิทธิเรียกร้องในสินทรัพย์ของบริษัท

สภาพคล่องจะยังคงบริหารจัดการได้

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะจัดการสภาพคล่องได้อย่างเพียงพอ โดย ณ เดือนกันยายน 2565 บริษัทมีเงินสดและวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้รวมกันจำนวนประมาณ 1.7 พันล้านบาท เงินทุนจากการดำเนินงานในอีก 12 เดือนข้างหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 6 พันล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีแหล่งเงินสดรวมกันที่จำนวนทั้งสิ้น 7.7 พันล้านบาทซึ่งเพียงพอต่อการชำระหนี้ระยะยาวที่จะครบกำหนดในอีก 12 เดือนข้างหน้าที่จำนวน 3.2 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่จำนวน 2.3 หมื่นล้านบาทซึ่งส่วนใหญ่คาดว่าจะเปลี่ยนไปเป็นเงินกู้โครงการระยะยาว

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? กำลังการผลิตรวมของโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วของบริษัทจะเพิ่มขึ้นถึงระดับ 2,000 เมกะวัตต์ในปี 2567

? ปริมาณไฟฟ้ารวมที่ผลิตได้จะอยู่ที่ปีละ 2,300-3,100 กิกะวัตต์-ชั่วโมงในช่วงปี 2565-2567

? รายได้จากการดำเนินงานรวมคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 9.5 พันล้านบาทในปี 2565 ที่ระดับ 1 หมื่นล้านบาทในปี 2566 และที่ระดับ 1.2 หมื่นล้านบาทในปี 2567

? EBITDA Margin จะอยู่ในช่วง 80%-85%

? งบลงทุนจะอยู่ที่ระดับ 1-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567

? ผู้รับเหมาก่อสร้างจะให้เครดิตระยะยาวในการชำระเงินสำหรับโครงการก่อสร้างในประเทศเวียดนาม

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Positive? หรือ ?บวก? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่ากระแสเงินสดของบริษัทเมื่อเทียบกับภาระหนี้จะปรับตัวดีขึ้นโดยอยู่ภายใต้การคาดการณ์ว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าและจะพยายามลดภาระหนี้ลง

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทยังคงมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ โครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาแล้วเสร็จสมบูรณ์ และระดับของกระแสเงินสดเมื่อเทียบกับภาระหนี้สอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้งโดยมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ที่ประมาณ 6 เท่า ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงได้หากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่ถดถอยลง การลงทุนที่ใช้เงินกู้มากเกินไป หรือต้นทุนในการก่อสร้างที่สูงเกินกว่างบที่ตั้งไว้เป็นอย่างมาก

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SUPER)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB

แนวโน้มอันดับเครดิต: Positive

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ