ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB-? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 450 ล้านบาทและไถ่ถอนภายใน 3.5 ปีของบริษัทที่ระดับ ?BBB-? ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 และใช้เป็นทุนในการดำเนินงาน
อันดับเครดิตสะท้อนถึงฐานรายได้ของบริษัทที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก ตลอดจนความสามารถในการทำกำไรที่น่าพอใจ ภาระหนี้ที่ปรับตัวสูงขึ้น และสภาพคล่องที่เพียงพอ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับระดับหนี้ครัวเรือนที่ค่อนข้างสูงและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งอาจกระทบต่อกำลังซื้อของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในระยะสั้นถึงปานกลางในขณะเดียวกันก็เพิ่มภาระต้นทุนในการพัฒนาโครงการและต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการให้สูงมากขึ้นอีกด้วย
รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 อยู่ที่ระดับ 1.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเป็นไปตามประมาณการของทริสเรทติ้ง ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทสูงกว่าการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งอันเนื่องมาจากอัตรากำไรขั้นต้นของอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายของบริษัทที่เพิ่มสูงขึ้น ปัจจัยดังกล่าวส่งผลทำให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 613 ล้านบาทซึ่งบรรลุเป้าหมายทั้งปีที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้
ณ เดือนกันยายน 2565 บริษัทมีโครงการทั้งสิ้นจำนวน 38 แห่งซึ่งประกอบด้วยโครงการแนวราบ 28 แห่งและคอนโดมิเนียม 10 แห่ง โดยมูลค่าเหลือขายของที่อยู่อาศัยในโครงการเหล่านี้ (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง) คิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 9.7 พันล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมีโครงการแนวราบคิดเป็นสัดส่วน 86% ของมูลค่าเหลือขายทั้งหมดและส่วนที่เหลือเป็นโครงการคอนโดมิเนียม ในขณะที่มูลค่ายอดขายที่รอรับรู้เป็นรายได้ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 348 ล้านบาทซึ่งจะมีการส่งมอบทั้งหมดในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565
ภาระหนี้ของบริษัทปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50% เอาไว้ได้ โดย ณ เดือนกันยายน 2565 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 48.7% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 45.4% ณ สิ้นปี 2564 บริษัทมีหนี้สินรวมอยู่ที่จำนวน 5.2 พันล้านบาทซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้นก่อนเปลี่ยนเป็นเงินกู้ระยะยาว (Bridge Loan) จำนวน 223 ล้านบาท เงินกู้โครงการจำนวน 1.5 พันล้านบาท หุ้นกู้จำนวน 3 พันล้านบาท และตั๋วอาวัลค่าซื้อที่ดินอีกจำนวน 521 ล้านบาท ทั้งนี้ หนี้จำนวนประมาณ 2.2 พันล้านบาทของหนี้สินรวมของบริษัทเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน ดังนั้น อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินทางการเงินรวมของบริษัทจึงมีสัดส่วนอยู่ที่ระดับ 42%
ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทจะมีเพียงพอในระยะ 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 บริษัทมีแหล่งสภาพคล่องจากเงินสดในมือจำนวน 355 ล้านบาทและวงเงินสินเชื่อจากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 212 ล้านบาท ส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 250-350 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ บริษัทยังมีที่ดินที่ไม่ติดภาระเป็นหลักประกันคิดเป็นมูลค่าทุนอีกประมาณ 2.2 พันล้านบาทซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันสำหรับการขอวงเงินสินเชื่อใหม่ได้อีกด้วย ในการนี้ บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าที่มูลค่า 558 ล้านบาทซึ่งประกอบด้วย Bridge Loan จำนวน 223 ล้านบาทและหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนอีกจำนวน 335 ล้านบาท
ตามข้อกำหนดทางการเงินที่ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนให้อยู่ที่ระดับไม่เกิน 2.5 เท่าและอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ระดับไม่เกิน 2 เท่านั้น ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1 เท่าและ 1.3 เท่าตามลำดับ ดังนั้น บริษัทจึงน่าจะปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินเอาไว้ได้ตามเป้าหมาย ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสร้างรายได้ที่ระดับ 2.4-3.2 พันล้านบาทและจะมีอัตรา EBITDA แกว่งตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 24% ในช่วงระหว่างปี 2565-2567 โดยที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 50% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ที่ระดับเกินกว่า 5% ในช่วงปีประมาณการ
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถขยายฐานรายได้และกำไรได้อย่างมีนัยสำคัญในขณะที่ยังคงสถานะทางการเงินที่ระดับปัจจุบันเอาไว้ได้ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) (PRIN)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
PRIN25DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB-
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 450 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 3 ปี 6 เดือน BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable