ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. อีเทอร์นิตี้ พาวเวอร์” ที่ “BBB-” เปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิต เป็น “Negative” จาก “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 7, 2022 12:00 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อีเทอร์นิตี้ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB-? และเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น ?Negative? หรือ ?ลบ? จาก ?Stable? หรือ ?คงที่? เพื่อสะท้อนความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัทในประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความล่าช้ายิ่งขึ้นในการเปิดดำเนินงานและอัตราค่าไฟฟ้าที่ยังไม่ได้ข้อสรุป

ในขณะที่อันดับเครดิตสะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเมื่อโรงไฟฟ้าพลังงานลมเริ่มดำเนินงานซึ่งจะส่งผลให้สถานะทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้น ในทางกลับกัน อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนจากความเสี่ยงในการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ตลอดจนความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญจากการดำเนินธุรกิจในประเทศเวียดนาม และความท้าทายที่เพิ่มสูงขึ้นในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

เป็นบริษัทย่อยหลักของบริษัทอีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป

ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทเป็นบริษัทย่อยหลักของบริษัทแม่คือ บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิต ?BBB-/Negative?) เนื่องจากบริษัทมีบทบาทสำคัญและสร้างรายได้หลักให้แก่กลุ่ม โดยบริษัททำหน้าที่เป็นหน่วยงานที่ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนกลยุทธ์ในการขยายสู่ธุรกิจผลิตไฟฟ้าให้แก่กลุ่ม ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะสร้างกำไรคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 90%-95% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของทั้งกลุ่ม

อันดับเครดิตเฉพาะ (Stand-alone Credit Profile ? SACP) ของบริษัทอยู่ที่ระดับ ?bbb-? และด้วยสถานะที่เป็นบริษัทย่อยหลัก อันดับเครดิตของบริษัทจึงเท่ากับอันดับเครดิตของบริษัทอีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป ซึ่งอยู่ที่ระดับ ?BBB-? ด้วยเช่นกัน

โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมซึ่งได้รับผลกระทบจากโรคระบาดต้องเผชิญกับความล่าช้าอย่างมาก

กระแสเงินสดที่อ่อนแอของบริษัทเป็นผลมาจากความล่าช้าในการเริ่มเปิดดำเนินการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนามที่ยืดเยื้อออกไปมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าพลังงานลมทั้ง 4 แห่งของบริษัทในประเทศเวียดนามยังคงรอการเปิดดำเนินการในเชิงพาณิชย์อยู่ โดยกำลังการผลิตไฟฟ้าสุทธิของโรงไฟฟ้าดังกล่าวอยู่ที่ 166.2 เมกะวัตต์ โดยก่อนหน้านี้ทริสเรทติ้งคาดว่าโครงการทั้งหมดนี้จะเริ่มเปิดดำเนินการในเชิงพาณิชย์ได้ภายในครึ่งแรกของปี 2565 ดังนั้น รายได้ของบริษัทจึงต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้อย่างเห็นได้ชัด โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทมีรายได้จำนวน 100 ล้านบาทซึ่งต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ทั้งปีที่ระดับ 900 ล้านบาท

เช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัทได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) อย่างหนัก โดยโครงการต้องเผชิญกับปัญหาคอขวดด้านห่วงโซ่อุปทานของชิ้นส่วนเครื่องจักรกลที่สำคัญ ๆ ตลอดจนความยากลำบากในการเคลื่อนย้ายแรงงาน และปัญหาอื่น ๆ ในช่วงที่มีการระบาดหนักซึ่งทำให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จได้ทันก่อนที่อัตราค่าไฟฟ้า Feed-in Tariff (FiT) จะหมดอายุลงในเดือนพฤศจิกายน 2564

ณ เดือนตุลาคม 2565 การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมส่วนใหญ่ของบริษัทแล้วเสร็จสมบูรณ์และพร้อมเดินเครื่องจ่ายไฟฟ้า โดยที่ความคืบหน้าของการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม 2 แห่งของบริษัทในจังหวัดกว่างจิ (Quang Tri ? ขนาด 97.5 เมกะวัตต์) เสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานลมอีก 2 โครงการในจังหวัดซาลาย (Gia Lai -- ขนาด 60 เมกะวัตต์) ก็แล้วเสร็จไปมากกว่า 90% ซึ่งอุปกรณ์หลัก ๆ ได้รับการติดตั้งและทดสอบเรียบร้อยแล้ว

การดำเนินการในเชิงพาณิชย์ยังไม่สามารถทำได้เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้ายังไม่ได้ข้อสรุป

โครงการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดนั้นยังคงไม่สามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้เนื่องจากต้องรอผลอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ ล่าสุดรัฐบาลเวียดนามกำลังแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (Ministry of Industry and Trade -- MOIT) ของประเทศเวียดนามเพิ่งออกหนังสือเวียนซึ่งกำหนดสูตรให้การไฟฟ้าเวียดนาม หรือ Vietnam Electricity (EVN) ใช้ในการคำนวณอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับโครงการที่รอเปิดดำเนินการ โดย EVN มีหน้าที่รับผิดชอบในการรวบรวมข้อมูลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการที่ผู้พัฒนาโครงการรายต่าง ๆ ส่งมา หลังจากนั้น EVN จะจัดทำข้อเสนออัตราค่าไฟฟ้าซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบจาก MOIT ในท้ายที่สุด

ทริสเรทติ้งมองว่ากรณีดังกล่าวเป็นสัญญาณในเชิงบวกสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัท อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความไม่แน่นอนว่าในที่สุดแล้วโครงการจะเริ่มเปิดดำเนินการในเชิงพาณิชย์ได้เมื่อใดและบริษัทจะจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ EVN ในอัตราใด ทั้งนี้ สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าค่าไฟฟ้าอัตราใหม่จะสรุปได้ในเดือนมีนาคม 2566 ในขณะที่โครงการของบริษัทจะเริ่มเปิดดำเนินการได้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 ด้วยอัตราค่าไฟฟ้าที่ต่ำลง ซึ่งทริสเรทติ้งมองว่าความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทจะสูงขึ้นหากการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในเรื่องอัตราค่าไฟฟ้าของรัฐบาลเวียดนามนั้นยังคงยืดเยื้อออกไป

โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมจะทำให้มีกระแสเงินสดกลับมา

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาบริษัทอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงพอร์ตการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าครั้งใหญ่ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อมุ่งสร้างความแข็งแกร่งให้แก่การสร้างกระแสเงินสดและโครงสร้างเงินทุน โดยบริษัทได้ขายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หลายแห่งออกไปในระหว่างปี 2562-2563 ซึ่งรวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนาม ญี่ปุ่น และไทย และบริษัทยังขายเงินลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมอีก 2 แห่งออกไปในปี 2564 อีกด้วย โดยบริษัทได้นำเงินที่ได้จากการขายโครงการโรงไฟฟ้าเหล่านี้ไปใช้ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมเป็นหลัก

จากความล่าช้าในการเปิดดำเนินการโรงไฟฟ้าพลังงานลมอย่างต่อเนื่อง รายได้ในปัจจุบันของบริษัทจึงมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคากลุ่มเล็ก ๆ และงานรับก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา โดยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และผู้ซื้อไฟฟ้าเอกชนหลายราย ในขณะที่สัญญาซื้อขายไฟฟ้าทั้งหมดเป็นแบบ Non-firm (สัญญาที่ผู้ผลิตไม่มีข้อผูกมัดเกี่ยวกับการสั่งเดินเครื่องและจะได้รับเฉพาะค่าพลังงานไฟฟ้า) ซึ่งโดยรวมแล้วสร้างรายได้ประมาณ 80-100 ล้านบาทต่อปี ดังนั้น รายได้ในอนาคตของบริษัทจึงขึ้นอยู่กับความสำเร็จของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมเป็นหลัก

ทริสเรทติ้งคาดว่าโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัทซึ่งรอคอยการเปิดดำเนินการมาอย่างยาวนานนั้นจะสร้างรายได้จำนวนมากเมื่อสามารถเปิดดำเนินการได้แล้ว ทั้งนี้ ในประมาณการกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าโครงการทั้งหมดจะเริ่มเปิดดำเนินการได้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 โดยอัตราค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่ 7.38 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงซึ่งต่างจากระดับเดิมที่ 8.5 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง และการผลิตไฟฟ้าคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ P90 (สามารถผลิตไฟฟ้าได้ในระดับความน่าจะเป็นที่ 90%) จากสมมติฐานดังกล่าว ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ระดับ 800 ล้านบาทในปี 2566 และคาดว่าจะเติบโตถึงระดับ 1.2 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2567-2568 เมื่อโครงการทั้งหมดดำเนินการเต็มปี ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทจะมี EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 700 ล้านบาทในปี 2566 และ 1 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2567-2568

ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อ EBITDA ของบริษัทจะลดลงเหลือประมาณ 4 เท่าภายในปี 2566 โดยอัตราส่วนดังกล่าวน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2 เท่าในระหว่างปี 2567-2568 ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 500 ล้านบาทในปี 2566 และ 700 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2567-2568 โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินอาจเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 18%-19% ในปี 2566 และถึงระดับ 30% ในปี 2567 นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะยังคงอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนไว้ที่ระดับประมาณ 25%-35% ในช่วงเวลาประมาณการด้วย

ยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับโครงการ

ทริสเรทติ้งเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทมาเป็น ?Negative? หรือ "ลบ" เนื่องจากรายได้ของบริษัทที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมยังคงมีความอ่อนไหวจากความไม่แน่นอน แม้ว่าปัจจุบันรัฐบาลเวียดนามจะได้เริ่มออกมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องอัตราค่าไฟฟ้า แต่ในกรณีที่เกิดความล่าช้ายิ่งขึ้นในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวหรือในการเริ่มเปิดดำเนินการก็จะส่งผลร้ายแรงต่อการฟื้นตัวของรายได้ของบริษัท นอกจากนี้ กระแสเงินสดจากโครงการดังกล่าวยังอาจลดลงหากอัตราค่าไฟฟ้าที่ได้รับที่ต่ำกว่าที่คาดอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมก็มักมีความเสี่ยงในการดำเนินงานที่สูงกว่า เช่น ความเสียหายของเครื่องจักรกลและระบบไฟฟ้าอีกด้วย ทั้งนี้ ความสำเร็จของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมส่วนใหญ่นั้นขึ้นอยู่กับความเพียงพอและความเร็วของลมเป็นสำคัญ ดังนั้น ประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัทจึงยังคงต้องรอการพิสูจน์ต่อไป

อุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้ามีความท้าทายมากยิ่งขึ้น

ทริสเรทติ้งมองเห็นถึงโอกาสในการเติบโตของไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทยโดยคาดว่าจะมีการเปิดโควต้ารอบใหม่ในการรับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งยังคงมองว่าการแข่งขันในตลาดการผลิตไฟฟ้าภายในประเทศนั้นทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยบริษัทเอกชนตั้งแต่ผู้ประกอบการรายเล็กไปจนถึงกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ต่างก็ขยายกิจการเข้าสู่ธุรกิจผลิตไฟฟ้ามากขึ้น โดยบริษัทผลิตไฟฟ้าไทยมีแนวโน้มที่จะขยายการลงทุนไปนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีโอกาสเติบโตที่มากขึ้น แต่การขยายธุรกิจไปในต่างประเทศบางส่วนก็มีความเสี่ยงสูง เช่น ความโปร่งใสและความสม่ำเสมอของกฎระเบียบ สถานะเครดิตของผู้รับซื้อไฟฟ้า และความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งมองเห็นการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นในขณะที่ราคาจำหน่ายไฟฟ้ากลับมีแนวโน้มที่ลดต่ำลงในประเทศต่าง ๆ ที่มีการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศเพื่อลงทุนในการผลิตไฟฟ้า

ลงทุนในประเทศเวียดนามในระดับสูง

ปัจจุบันโรงไฟฟ้าในประเทศเวียดนามมีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 95% ของกำลังการผลิตทั้งหมดของบริษัท ประเทศเวียดนามดูเหมือนจะเสนอโอกาสมากมายสำหรับการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเนื่องจากเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ไม่ว่าจะเป็นแนวชายฝั่งทะเลที่ทอดยาว กระแสลมที่มีความเร็วและแรง รวมทั้งชั่วโมงรับแสงแดดที่ยาวนาน ดังนั้น ด้วยอุปสงค์ในการใช้ไฟฟ้าที่แข็งแกร่ง ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะขยายธุรกิจไปในประเทศเวียดนามเพิ่มมากขึ้นหรืออาจจะลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ พร้อมทั้งจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ EVN

ในทางตรงกันข้าม การลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศเวียดนามในปัจจุบันยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนต่าง ๆ อันเป็นผลมาจากแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติ (National Power Development Plan) และนโยบายเกี่ยวกับกรอบราคาใหม่สำหรับพลังงานหมุนเวียนของเวียดนามที่ยังต้องรอความชัดเจน นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมองว่าสถานะเครดิตของ EVN ซึ่งเป็นหน่วยงานการไฟฟ้าภาครัฐของประเทศเวียดนามนั้นยังไม่แข็งแกร่งเท่ากับผู้ซื้อไฟฟ้าที่เป็นรัฐวิสาหกิจของไทย ในขณะที่การผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าในประเทศเวียดนามยังมีความเสี่ยงที่จะถูกจำกัดเนื่องจากสายส่งไฟฟ้ามีไม่เพียงพออีกด้วย อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าความเสี่ยงที่จะถูกจำกัดการจำหน่ายไฟฟ้าจะลดลงเนื่องจากรัฐบาลเวียดนามพยายามปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อตอบสนองต่ออุปสงค์ในการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น

สภาพคล่องอยู่ในวิสัยที่สามารถบริหารจัดการได้

ณ เดือนกันยายน 2565 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเพียงประมาณ 17 ล้านบาท โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานจำนวนประมาณ 500 ล้านบาทในปี 2566 ในขณะที่บริษัทมีหนี้ระยะสั้นและระยะยาวที่จะครบกำหนดในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวนทั้งสิ้น 2.7 พันล้านบาท ทั้งนี้ ภาระหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นเงินที่กู้ยืมมาจากบริษัทอีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำนวนประมาณ 2.4 พันล้านบาท และจากการที่โรงไฟฟ้ามีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสภาพคล่องได้อย่างรอบคอบ

โครงสร้างหนี้

ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 บริษัทมีภาระหนี้รวมอยู่ที่จำนวน 2.7 พันล้านบาท โดยภาระหนี้ส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ยืมจากบริษัทอีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำนวนคงค้างประมาณ 2.4 พันล้านบาท อัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้ทั้งหมดของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 11% อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวอาจเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 50% หากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมได้รับเงินกู้โครงการ

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? อัตราความสามารถในการผลิตไฟฟ้าของโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาจะอยู่ที่ระดับประมาณ 10%-11%

? โรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนามจะใช้ประมาณการ P90 (สามารถผลิตไฟฟ้าได้ในระดับความน่าจะเป็นที่ 90%)

? รายได้จะอยู่ที่ระดับประมาณ 100 ล้านบาทในปี 2565 ประมาณ 800 ล้านบาทในปี 2566 และประมาณ 1.2 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2567-2568

? อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) จะกลับมาเพิ่มขึ้นเกินระดับ 80% ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป

? ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนโดยรวมจะอยู่ที่จำนวน 3.2 พันล้านบาทในช่วงปี 2565-2568

? บริษัทจะได้รับเงินกู้โครงการจำนวน 3.4 พันล้านบาทในปี 2566 สำหรับโรงไฟฟ้าพลังลมทุกโครงการในประเทศเวียดนาม

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? หรือ ?ลบ? สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัท ทริสเรทติ้งมองว่าความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทจะเพิ่มมากขึ้นหากการเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัทต้องเลื่อนออกไปอีกนาน หรือการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทนั้นต่ำกว่าที่คาดไว้อย่างมีนัยสำคัญ

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

ทริสเรทติ้งอาจพิจารณาปรับเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตกลับไปเป็น ?Stable? หรือ ?คงที่? หากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัทเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์และมีผลการดำเนินงานเป็นไปตามที่ทริสเรทติ้งคาดไว้ จากแนวโน้มอันดับเครดิตที่เป็น ?Negative? หรือ ?ลบ? นั้น ทำให้การปรับเพิ่มอันดับเครดิตจึงไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้

ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นหากบริษัทยังคงมีความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่อ่อนแออย่างต่อเนื่อง โดยกรณีดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้หากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัทยังคงเผชิญกับความล่าช้าในการเปิดดำเนินการหรือสร้างกระแสเงินสดที่อ่อนแอกว่าที่คาดไว้เนื่องจากการลดอัตราค่าไฟฟ้าลงอย่างมีนัยสำคัญหรือโครงการมีประสิทธิภาพที่ต่ำ นอกจากนี้ การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นจากการลงทุนใหม่ที่ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องหรือมีความเสี่ยงทางการเงินที่สูงขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ ตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ? ของทริสเรทติ้งนั้น อันดับเครดิตของบริษัทจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกับอันดับเครดิตของบริษัทแม่คือบริษัทอีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป โดยการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่มีต่ออันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทแม่ก็จะมีผลต่ออันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

บริษัท อีเทอร์นิตี้ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (ETP)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB-

แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ