ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB-? ขณะเดียวกันได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทลงเป็น ?Negative? หรือ ?ลบ? จาก ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนสถานะทางการเงินของบริษัทที่ถดถอยลงอันเนื่องมาจากกำไรที่อ่อนแอลงและภาระหนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้นขณะที่การฟื้นตัวของผลการดำเนินงานยังมีความไม่แน่นอน
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งและผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ในงานอุโมงค์และโครงสร้างใต้ดินของบริษัท อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็ถูกจำกัดจากขนาดธุรกิจที่ค่อนข้างเล็กและลักษณะงานก่อสร้างที่ไม่หลากหลายของบริษัท อีกทั้งยังถูกลดทอนจากการแข่งขันที่รุนแรงและความเป็นวัฏจักรขึ้นลงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ผลการดำเนินงานอ่อนแอลงแต่น่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัว
ผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาของบริษัทอ่อนแอกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ โดยผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) และความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซียส่งผลให้เกิดความล่าช้าในหลายโครงการก่อสร้างและราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทลดลง 12.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 1.7 พันล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียงประมาณครึ่งหนึ่งของการคาดการณ์ทั้งปีของทริสเรทติ้ง ขณะที่การปรับขึ้นอย่างมากของราคาวัสดุก่อสร้างโดยเฉพาะเหล็กก็กดดันอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทให้ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดที่ 7.9% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทจะลดลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 ล้านบาทและเงินทุนจากการดำเนินงานจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 ล้านบาทในปี 2565
อย่างไรก็ตาม งานก่อสร้างใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นและราคาวัสดุก่อสร้างที่เริ่มปรับลดลงน่าจะช่วยให้ผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นได้ในอนาคต โดยในกรณีฐานทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 10%-12% ในระหว่างปี 2566-2567 ภายใต้สมมติฐานว่าบริษัทจะได้สัญญาก่อสร้างใหม่จำนวนประมาณ 8 พันล้านบาทในปี 2565 และ 3 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2566-2567 ซึ่งจะหนุนให้รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 4 พันล้านบาทต่อปีได้ ทั้งนี้ EBITDA ของบริษัทน่าจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 350-500 ล้านบาทต่อปี ขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้นเป็น 230-330 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2566-2567
แม้ผลการดำเนินงานของบริษัทน่าจะมีการฟื้นตัวแต่การแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและความผันผวนของราคาวัสดุก่อสร้างยังคงเป็นความเสี่ยงขาลงที่สำคัญ นอกจากนี้ งานขุดเจาะที่มีความท้าทายก็อาจก่อให้เกิดอุปสรรคที่ไม่คาดคิดซึ่งมีความเสี่ยงที่จะทำให้โครงการเกิดความล่าช้ารวมถึงต้นทุนโครงการที่สูงกว่าคาดได้ ทั้งนี้ การถดถอยอย่างต่อเนื่องหรือการฟื้นตัวที่ช้ากว่าที่คาดของผลการดำเนินงานของบริษัทอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่ออันดับเครดิตได้
ภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้น
ความสามารถในการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทถดถอยลง โดยการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของลูกหนี้การค้าที่ยังไม่เรียกเก็บทำให้ความต้องการเงินทุนหมุนเวียนยังคงอยู่ในระดับสูงและทำให้ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเมื่อผนวกกับอัตรากำไรที่เบาบางลงก็ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 12.6 เท่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 จาก 3.9 เท่าในปี 2564 ขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินก็ลดลงมาอยู่ที่ 2.6% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 จาก 20% ในปี 2564
อย่างไรก็ตาม ลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นหน่วยงานภาครัฐและบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ ความเสี่ยงในการไม่ได้รับชำระเงินจึงอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้สินของบริษัทจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อได้รับชำระเงินจากเจ้าของโครงการ เนื่องจากโครงการที่มีปัญหาใกล้จะแล้วเสร็จและกำไรของบริษัทควรจะค่อย ๆ ฟื้นตัว ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 7 เท่าในปี 2566 และต่ำกว่า 4 เท่าในปี 2567 ขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 10%-20% ในระหว่างปี 2566-2567
ณ เดือนกันยายน 2565 หนี้เงินกู้รวมของบริษัทไม่นับรวมหนี้สินตามสัญญาเช่ามีจำนวนทั้งสิ้น 1.5 พันล้านบาท ซึ่งประมาณ 0.9 พันล้านบาทเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน (Priority Debt) เนื่องจากเป็นหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัท ทำให้อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 61% ส่งผลให้เจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันมีความด้อยสิทธิกว่าเจ้าหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนอย่างมีนัยสำคัญเมื่อพิจารณาจากสิทธิเรียกร้องในสินทรัพย์ของบริษัท
มีผลงานเป็นที่ประจักษ์และความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งในงานขุดเจาะ
บริษัทเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างงานดินและฐานรากชั้นนำในประเทศไทย โดยเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีในด้านความเชี่ยวชาญในงานขุดระเบิดหินและงานก่อสร้างอุโมงค์ในหินแข็ง ความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทนั้นมาจากทีมผู้บริหาร วิศวกร และนักธรณีวิทยาที่มีประสบการณ์รวมถึงบริษัทมีอุปกรณ์และเครื่องจักรที่ครบครัน ทั้งนี้ บริษัทเน้นรับงานก่อสร้างอุโมงค์และโครงสร้างใต้ดิน เขื่อนและระบบชลประทาน โรงไฟฟ้าพลังน้ำ และงานก่อสร้างท่อลอดใต้ดินโดยวิธีดันท่อและวิธีเจาะดึงท่อให้กับลูกค้าภาครัฐเป็นส่วนใหญ่
บริษัทมีประสบการณ์ในโครงการขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น อุโมงค์ผันน้ำและอุโมงค์ส่งน้ำของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 และงานโยธาหลักสำหรับโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี โดยงานก่อสร้างดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) นอกจากนี้ บริษัทกำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างงานอุโมงค์โครงการรถไฟทางคู่สายอีสาน (ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ) และโครงการแม่แตง-แม่งัด ซึ่งทั้งสองโครงการดังกล่าวนี้น่าจะช่วยสร้างผลงานเพิ่มเติมให้แก่บริษัทและเพิ่มโอกาสในการชนะการประมูลสัญญาก่อสร้างในอนาคต
ขนาดธุรกิจค่อนข้างเล็กและมีการกระจุกตัวทางธุรกิจในระดับสูง
ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทลดทอนลงจากธุรกิจของบริษัทที่มีขนาดเล็กเมื่อพิจารณาจากฐานรายได้และสินทรัพย์ นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทก็ยังขึ้นอยู่กับโครงการขนาดใหญ่ไม่กี่โครงการอีกด้วย โดยรายได้จากโครงการที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 3 อันดับแรกคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 2 ใน 3 ของรายได้รวมในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่โครงการที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 3 อันดับแรกและยังอยู่ระหว่างก่อสร้างคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 70% ของมูลค่างานก่อสร้างในมือ ณ เดือนกันยายน 2565 ดังนั้น หากบริษัทประสบปัญหาในการส่งมอบหรือเกิดความติดขัดในการดำเนินงานโครงการขนาดใหญ่เพียงหนึ่งโครงการก็อาจสร้างผลกระทบอย่างมากต่อผลการดำเนินงานได้ อีกทั้งรายได้ของบริษัทยังขึ้นอยู่กับงานก่อสร้างภาครัฐซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดความล่าช้าอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะได้ประโยชน์จากความมุ่งมั่นของภาครัฐในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และหลาย ๆ โครงการที่มีโอกาสพัฒนาก็มีงานที่จะต้องขุดเจาะอุโมงค์ซึ่งเป็นงานที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ ทั้งนี้ บริษัทเพิ่งจะได้งานก่อสร้างขนาดใหญ่จำนวนสองสัญญาสำหรับโครงการรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของโดยมีมูลค่ารวมกัน 4.3 พันล้านบาท ส่งผลให้มูลค่างานก่อสร้างในมือของบริษัทเพิ่มขึ้นจนเกือบแตะ 9 พันล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2565 ซึ่งจะช่วยให้รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นสู่ระดับเดียวกับที่ทริสเรทติ้งคาดไว้
สภาพคล่องน่าจะบริหารจัดการได้
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงสามารถจัดการกับสภาพคล่องได้อย่างเหมาะสม โดย ณ เดือนกันยายน 2565 เงินกู้ยืมประมาณ 50% ของบริษัทเป็นเงินกู้โครงการจากธนาคารที่มีความยืดหยุ่นของระยะเวลาในการชำระหนี้ ขณะที่บริษัทมีหนี้ระยะยาวและหนี้สินตามสัญญาเช่าที่จะครบกำหนดในอีก 12 เดือนข้างหน้ารวมกันจำนวน 269 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ด้วยเงินสดและวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้รวมกันประมาณ 223 ล้านบาทของบริษัทและเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ 180 ล้านบาท
ข้อกำหนดหุ้นกู้ที่สำคัญระบุให้บริษัทต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อส่วนทุนไว้ที่ไม่เกิน 2.5 เท่า ซึ่งบริษัทสามารถปฏิบัติได้ตามข้อกำหนดเนื่องจากอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.4 เท่า ณ เดือนกันยายน 2565 อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่สามารถดำรงอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ตามข้อกำหนดของวงเงินกู้จากสถาบันการเงินได้ โดยอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.8 เท่าในปี 2564 ซึ่งต่ำกว่าข้อกำหนดที่ไม่น้อยกว่า 1.1 เท่า อย่างไรก็ตาม ด้วยผลงานในการส่งมอบโครงการก่อสร้างได้ตามแผนรวมถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของกำไร ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะได้รับการยกเว้นข้อกำหนดดังกล่าวจากสถาบันการเงิน
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? บริษัทจะได้รับสัญญาก่อสร้างใหม่ประมาณ 8 พันล้านบาทในปี 2565 และ 3 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567
? รายได้จากการดำเนินงานรวมจะอยู่ที่ 2.5 พันล้านบาทในปี 2565 และ 4 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567
? อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ประมาณ 7% ในปี 2565 และปรับตัวดีขึ้นเป็น 10%-12% ในช่วงปี 2566-2567
? งบลงทุนจะอยู่ในช่วง 250-550 ล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2565-2567
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? หรือ ?ลบ? สะท้อนผลการดำเนินงานของบริษัทที่ต่ำกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแม้ทริสเรทติ้งจะคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในปีถัด ๆ ไป แต่ระดับการฟื้นตัวก็ยังมีความไม่แน่นอนจากอุปสรรคต่าง ๆ
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงได้หากตัวเลขทางการเงินของบริษัทยังคงต่ำกว่าคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง ซึ่งอาจเกิดจากความล่าช้าของโครงการ ต้นทุนที่สูงกว่าคาด หรือการจัดการเงินทุนหมุนเวียนที่ไม่มีประสิทธิภาพจนทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัททรงตัวเหนือระดับ 4 เท่าโดยไม่มีสัญญาณการฟื้นตัว ในทางตรงกันข้าม แนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเป็น ?Stable? หรือ ?คงที่? ได้ หากความสามารถในการทำกำไรและการจัดการเงินทุนหมุนเวียนสอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้งและหากรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นได้ตามที่คาดหมายไว้
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
?
บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) (RT)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative