ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจของบริษัทที่อยู่ในระดับปานกลาง ฐานทุนที่แข็งแกร่ง สถานะความเสี่ยงที่เข้มแข็ง ตลอดจนสถานะแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องที่บริหารจัดการได้
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีสถานะทางการตลาดที่เข้มแข็งในธุรกิจสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์
ธุรกิจหลักของบริษัทได้แก่ ธุรกิจการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Lending) และการให้เงินทุนให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ผ่านสองผลิตภัณฑ์หลักคือเงินให้กู้ยืมระยะสั้นและเงินให้กู้ยืมแก่บริษัทหลักทรัพย์เพื่อเสริมสภาพคล่องในการทำธุรกรรมเครดิตบาลานซ์ของบริษัทหลักทรัพย์ โดยบริษัทเป็นผู้ประกอบการหลักในธุรกิจการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ใน 10 อันดับแรกของประเทศ
สถานะทางการตลาดที่เข้มแข็งนั้นยังคงเป็นปัจจัยที่ช่วยค้ำจุนสถานะทางธุรกิจของบริษัทแม้ว่าส่วนแบ่งทางการตลาดจะลดลงเล็กน้อยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับ 3.7% ลดลงเล็กน้อยจาก 5%-6% ในอดีต โดยอยู่ในอันดับที่ 7 บริษัทมีสัดส่วนสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์คงค้างโดยเฉลี่ยที่จำนวนประมาณ 4 พันล้านบาท
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 บริษัทได้ให้สินเชื่อแก่บริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ 1.12 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จาก 840 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564
สถานะทางธุรกิจปานกลางเนื่องจากการกระจุกตัวของรายได้
สถานะทางธุรกิจของบริษัทได้รับการประเมินว่าอยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจากพึ่งพารายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์จำนวนมาก ซึ่งคิดเป็น 87% ของรายได้รวมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดหุ้นและความต้องการสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ รายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืมของนายหน้าคิดเป็น 11% ในขณะที่รายได้จากค่าธรรมเนียมยังคงอยู่ในระดับต่ำ ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่ส่งผลให้รายได้มีความหลากหลายอย่างมีนัยสำคัญอาจส่งผลให้สถานะทางธุรกิจและสถานะเครดิตของบริษัทดีขึ้น
มีฐานทุนที่แข็งแกร่ง
ฐานทุนและภาระหนี้ของบริษัทวัดจากอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงแล้ว คาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 20% บนค่าเฉลี่ย 5 ปี (2563-2567) ทริสเรทติ้งคาดว่าฐานทุนของบริษัทจะอยู่ในระดับใกล้เคียงเดิมในระยะปานกลางจากพอร์ตสินเชื่อของบริษัทที่คาดว่าจะขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงจากนโยบายการลงทุนที่มีความระมัดระวัง และนโยบายการจ่ายเงินปันผลระดับปานกลางของบริษัท ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไป (NCR) อยู่ที่ระดับ 54.2% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ของทางการขั้นต่ำที่ระดับ 7% เป็นอย่างมาก
ความสามารถในการทำกำไรระดับปานกลาง
ในมุมมองของทริสเรทติ้ง การเพิ่มความสามารถในการทำกำไรยังคงเป็นความท้าทายของบริษัท เนื่องจากบทบาทของบริษัททำให้ไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และขยายธุรกิจอย่างก้าวกระโดดได้ หากบริษัทไม่สามารถปรับปรุงโครงสร้างรายได้ได้อย่างมีนัยสำคัญ คาดว่าแนวโน้มความสามารถในการทำกำไรจะยังคงอ่อนแอ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีต่อสินทรัพย์เสี่ยงเฉลี่ย 5 ปี (2563-2567) จะอยู่ที่ 1.1% เทียบกับ 0.9%-1.2% ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ การจัดการค่าใช้จ่ายในการลงทุนและการดำเนินงานที่ดีจะช่วยให้บริษัทยังคงความสามารถในการทำกำไรได้ต่อไปในระยะปานกลาง สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวมอยู่ที่ 36.0% ค่อนข้างคงที่เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 และต่ำกว่าบริษัทหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญ
สถานะทางความเสี่ยงที่เข้มแข็ง
สถานะความเสี่ยงที่เข้มแข็งของบริษัทมาจากนโยบายจัดการความเสี่ยงที่รัดกุม ซึ่งได้รับการควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านตัวแทนคณะกรรมการ ทั้งนี้ รวมถึงนโยบายการควบคุมความเสี่ยงที่รัดกุมในการอนุมัติสินเชื่อ ตลอดจนการจัดระเบียบหลักทรัพย์ที่อนุญาตให้ซื้อขายซึ่งมีการวิเคราะห์ทั้งปัจจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณของหลักทรัพย์ และมีการควบคุมดูแลหลักประกันที่รัดกุม
คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทยังคงเข้มแข็ง โดยมีค่าใช้จ่ายหนี้สูญเพิ่มเติมในระดับต่ำในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์ของบริษัทก็ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ เนื่องจากพอร์ตเงินลงทุนของบริษัทมีขนาดเล็กและมีความเสี่ยงต่ำ โดยประกอบไปด้วยเงินลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการลงทุนของบริษัท ทั้งนี้ เงินลงทุนของบริษัทมีสัดส่วนคิดเป็นเพียง 2% ของสินทรัพย์รวมของบริษัท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 เท่านั้น
?
มีสถานะแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องอยู่ในระดับปานกลาง
ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทมีสถานะด้านแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอ โดยมีความไม่สอดคล้องกันของโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สินในระดับที่บริหารจัดการได้ อย่างไรก็ตาม โครงสร้างการระดมทุนที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งรวมถึงการระดมทุนระยะยาวมากขึ้นอาจส่งผลดีต่ออันดับเครดิต ทั้งนี้ แหล่งเงินทุนหลักของบริษัทมาจากเงินกู้ยืมระยะสั้นหมุนเวียนผ่านตั๋วสัญญาใช้เงินจากสถาบันการเงินต่าง ๆ เพื่อช่วยลดต้นทุนทางการเงิน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 บริษัทมีวงเงินสินเชื่อรวม 5.6 พันล้านบาท
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปี 2565-2568 มีดังนี้
? สินเชื่อรวมจะอยู่ที่ระดับประมาณ 4-5 พันล้านบาท
? ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจะแกว่งตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 3%
? อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมจะอยู่ที่ระดับประมาณ 40%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสามารถดำรงสถานะฐานทุนที่แข็งแกร่งและความสามารถในการสร้างผลกำไร ตลอดจนสถานะแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องเอาไว้ได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถกระจายสัดส่วนของรายได้ได้อย่างมีสาระสำคัญหรือมีฐานทุนและความสามารถในการสร้างผลกำไรที่แข็งแกร่งมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากบริษัทมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญหรือมีฐานทุน ภาระหนี้ และผลกำไรที่เสื่อมถอยลงอย่างมีนัยสำคัญจนทำให้อัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงลดลงต่ำกว่าระดับ 15% ติดต่อกันเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่อง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร, 17 กุมภาพันธ์ 2563
บริษัทหลักทรัพย์ เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน) (TSFC)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable