ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BB? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงธุรกิจขนาดปานกลางของบริษัท ตลอดจนพอร์ตการลงทุนที่กระจุกตัวในแง่ของจำนวนโครงการ ทำเล และกลุ่มลูกค้า รวมถึงภาระหนี้ที่สูง นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูงและอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นซึ่งอาจส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้ซื้อบ้านในกลุ่มรายได้ระดับปานกลางถึงต่ำในขณะเดียวกันก็เพิ่มภาระต้นทุนในการพัฒนาโครงการและต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการให้สูงมากขึ้นอีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากฐานรายได้และกำไรที่มีขนาดปานกลาง
รายได้และกำไรของบริษัทมีขนาดปานกลางเมื่อเปรียบเทียบกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตจากทริสเรทติ้ง ทั้งนี้ ฐานรายได้ของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 800 ล้านบาทถึง 1 พันล้านบาทในระหว่างปี 2563-2565 ความสามารถในการขยายธุรกิจของบริษัทมีค่อนข้างจำกัดจากการมีขนาดฐานทุนที่ค่อนข้างเล็ก ดังนั้น บริษัทคงต้องใช้เวลาในการที่จะเพิ่มขนาดธุรกิจให้ถึงระดับที่เทียบเคียงได้กับคู่แข่งที่มีอันดับเครดิตในระดับที่สูงกว่า นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทยังถูกกระทบได้ง่ายจากการเปลี่ยนแปลงรสนิยมของผู้บริโภคและสภาวะตลาดอีกด้วย
ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะเติบโตสอดคล้องตามภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะค่อย ๆ เติบโตขึ้นไปจนถึงระดับ 1-1.4 พันล้านบาทต่อปีในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทน่าจะยังคงสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ที่ระดับ 29%-31% และอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) ที่ระดับ 15%-20% เอาไว้ได้ แม้ว่าจะยังมีสินค้าคงเหลือในบางโครงการที่อัตรากำไรต่ำ แต่อัตรากำไรโดยรวมของบริษัทนั้นคาดว่าน่าจะเพิ่มขึ้นจากอัตรากำไรที่สูงขึ้นจากการควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้นในโครงการที่เพิ่งเปิดตัวใหม่และโครงการในอนาคต ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 250-300 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2568 จากระดับ 200 ล้านบาทในช่วงระหว่างปี 2564-2565 และระดับ 150 ล้านบาทในปี 2563
ผลการดำเนินงานขึ้นอยู่กับโครงการเพียง 2-3 แห่งในทำเลที่จำกัด
ขอบเขตการดำเนินงานขนาดเล็กของบริษัทซึ่งมีโครงการเปิดขายจำนวนน้อยบนทำเลเพียง 2-3 แห่งถือว่าเป็นข้อจำกัดที่สำคัญต่อสถานะเครดิตของบริษัทเนื่องจากผลตอบรับจากลูกค้าที่ไม่ดีเพียง 1 หรือ 2 โครงการก็อาจจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทได้ โดย ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยเหลือขายจำนวน 6 โครงการในพื้นที่ 3 แห่ง ได้แก่ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดฉะเชิงเทรา และเขตบางขุนเทียนซึ่งมีมูลค่าเหลือขาย (รวมทั้งยูนิตที่สร้างเสร็จแล้วและที่ยังไม่ได้ก่อสร้าง) ประมาณ 5.2 พันล้านบาท ทั้งนี้ ประมาณ 70% ของมูลค่าเหลือขายของบริษัทมาจากโครงการเดียวในทำเลเขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ ส่วนโครงการที่เหลือเกือบทั้งหมดอยู่ในย่านอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี
โครงการของบริษัทเน้นในกลุ่มราคาปานกลางถึงต่ำที่ระดับราคาหลังละ 2-6 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งใจจะกระจายทำเลที่ตั้งโครงการและขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นโดยเปิดโครงการที่อยู่อาศัยไปยังทำเลใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพในกลุ่มระดับราคาที่สูงขึ้นที่ราคาหลังละ 6-10 ล้านบาท บริษัทได้เปิดตัวโครงการ ?คุณาลัย นาวาร่า พระราม 2? มูลค่า 3.7 พันล้านบาทในเขตบางขุนเทียนในปี 2565 และมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ชื่อ ?คุณาลัย นาวาร่า รังสิต? มูลค่า 6.7 พันล้านบาทในพื้นที่รังสิต คลอง 2 ในปีนี้ เนื่องจากโครงการดังกล่าวมีขนาดใหญ่กว่าโครงการในปัจจุบัน บริษัทจึงวางแผนพัฒนาทีละระยะเพื่อลดความเสี่ยงของโครงการ ในการนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าหากความพยายามในการขยายโครงการไปในทำเลและระดับราคาที่หลากหลายประสบความสำเร็จก็จะเป็นผลบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัท
ระดับหนี้สินทางการเงินสูงแต่คาดว่าจะดีขึ้นตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป
ทริสเรทติ้งคาดว่าระดับหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะอยู่ในระดับที่สูง ณ สิ้นปี 2565 จากการขยายธุรกิจเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ในปี 2564-2565 บริษัทได้ซื้อที่ดินแปลงใหญ่ 2 แห่งในเขตบางขุนเทียนและรังสิตคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 1 พันล้านบาท ทั้งนี้ จากการที่ฐานทุนของบริษัทมีขนาดค่อนข้างเล็ก ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าธุรกรรมขนาดใหญ่เหล่านี้จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่าระดับ 60% ณ สิ้นปี 2565 จากระดับ 56% ในปี 2564 และ 32% ในปี 2563 และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทน่าจะอยู่ต่ำกว่าระดับ 10% ในปี 2565
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไปโดยมาจากสมมติฐานของทริสเรทติ้งที่บริษัทจะลดภาระหนี้โดยการเพิ่มทุนจำนวน 150 ล้านบาทภายในปี 2566 ซึ่งเงินที่จะได้จากการเพิ่มทุนครั้งใหม่เมื่อประกอบกับรายได้และกำไรที่คาดว่าจะเติบโตขึ้นนั้นน่าจะช่วยทำให้ภาระหนี้ของบริษัทลดลงจากระดับปัจจุบัน โดยทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นจนมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 60% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะแกว่งตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 10% ในช่วงระหว่างปี 2566-2568
ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบที่มูลค่ารวม 7.3 พันล้านบาทในปี 2566 และ 1-1.4 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2567-2568 โดยคาดว่าบริษัทจะซื้อที่ดินคิดเป็นมูลค่าประมาณ 600-700 ล้านบาทในปี 2566 และ 150-200 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2567-2568 ในขณะที่เงินทุนในการก่อสร้างโครงการจะอยู่ที่ประมาณปีละ 650-750 ล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 บริษัทมีหนี้สินรวมจำนวน 1.1 พันล้านบาท โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนจำนวน 724 ล้านบาทซึ่งเป็นหนี้ของบริษัทเองและของบริษัทย่อย ดังนั้น อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมจึงอยู่ที่ระดับ 69% ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงมองว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทมีความเสียเปรียบในด้านลำดับสิทธิเรียกร้องเหนือสินทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับเจ้าหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน
สภาพคล่องตึงตัวแต่สามารถจัดการได้
ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่ตึงตัวแต่สามารถจัดการได้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 649 ล้านบาทซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้จำนวน 247 ล้านบาท ตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 54 ล้านบาท และเงินกู้โครงการระยะยาวอีกจำนวน 348 ล้านบาท แหล่งที่มาของสภาพคล่องของบริษัท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 ประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 117 ล้านบาทและวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่ติดเงื่อนไขในการเบิกอีกจำนวน 123 ล้านบาท รวมถึงเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่จำนวน 100 ล้านบาทในปี 2566 นอกจากนี้ บริษัทยังมีที่ดินที่ปลอดภาระหนี้ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 86 ล้านบาทซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันสำหรับวงเงินกู้กับสถาบันการเงินได้ในกรณีที่จำเป็นอีกด้วย โดยปกติแล้วบริษัทจะออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนและจะต่ออายุตั๋วสัญญาใช้เงินที่ครบกำหนด ในขณะเดียวกันบริษัทจะชำระเงินกู้ยืมโครงการจากสถาบันการเงินด้วยเงินสดที่ได้จากการโอนโครงการที่อยู่อาศัยให้แก่ลูกค้า
ตามข้อกำหนดทางการเงินของหุ้นกู้ระบุให้บริษัทต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนให้อยู่ที่ระดับไม่เกิน 3 เท่า ทั้งนี้ ณ เดือนกันยายน 2565 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.4 เท่า ทริสเรทติ้งจึงเชื่อว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขทางการเงินดังกล่าวได้อย่างไม่มีปัญหาใด ๆ ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานกรณีพื้นฐานที่สำคัญของทริสเรทติ้งสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 2566-2568 มีดังนี้
? บริษัทจะเปิดโครงการบ้านจัดสรรมูลค่า 7.3 พันล้านบาทในปี 2566 และมูลค่า 1-1.4 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2567-2568
? เงินลงทุนซื้อที่ดินจะอยู่ที่ประมาณ 600-700 ล้านบาทในปี 2566 และที่ประมาณ 150-200 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2567-2568
? เงินเพิ่มทุนจะอยู่ที่จำนวน 150 ล้านบาทในปี 2566
? รายได้จากการดำเนินงานรวมจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1-1.4 พันล้านบาท
? อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ระดับ 29%-31% และ EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับ 15%-20%.
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอับดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะมีผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินที่ปรับตัวดีขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสร้างรายได้ที่ระดับ 1-1.4 พันล้านบาทและจะคง EBITDA Margin ไว้ที่ระดับ 15%-20% ในช่วง 3 ปีข้างหน้าในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 60% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะแกว่งตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 10% ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงได้หากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงจากที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะส่งผลทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนสูงเกินกว่า 60% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินต่ำกว่า 10% โดยปราศจากสัญญาณฟื้นตัว ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากฐานรายได้และผลกำไรของบริษัทเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่ยังคงสถานะทางการเงินที่ระดับปัจจุบันเอาไว้ได้
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- การจัดอันดับเครดิตบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย, 12 มกราคม 2566
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) (KUN)
อันดับเครดิตองค์กร: BB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable