ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (SGC) และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 3 พันล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 2 ปี 11 เดือนของบริษัทที่ระดับ ?BBB? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทลูกหลัก (Core Subsidiary) ของ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (SINGER) ซึ่งตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ? ของทริสเรทติ้งนั้น อันดับเครดิตของบริษัทจะอยู่ในระดับเดียวกับอันดับเครดิตของบริษัทแม่คือ SINGER (?BBB/Stable?)
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
เป็นบริษัทลูกหลักของ SINGER
ทริสเรทติ้งมองว่า SGC เป็นบริษัทย่อยหลักของ SINGER ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัทโดยถือหุ้นในสัดส่วน 75% ซึ่ง SGC ดำเนินธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน (Auto Title Loan) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถบรรทุกโดยให้บริการในกลุ่มลูกค้ารายย่อยและขนาดกลาง นอกจากนี้ บริษัทยังให้บริการสินเชื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนและเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์แก่ลูกค้ารายย่อยของ SINGER อีกด้วย
ธุรกิจของบริษัทมีบูรณาการอย่างใกล้ชิดกับธุรกิจของ SINGER ในระดับสูงโดยที่กลยุทธ์ทางธุรกิจและนโยบายการบริหารความเสี่ยงของบริษัทมีการควบคุมโดยตรงจาก SINGER ทั้งนี้ การแนะนำผลิตภัณฑ์และการดำเนินกิจกรรมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์หลัก (Cross-selling) นั้นเกิดขึ้นในหมู่บริษัทซึ่งเป็นสมาชิกภายในกลุ่มซิงเกอร์ (SINGER Group) ซึ่งรวมถึง บริษัท เอสจี เซอร์วิสพลัส จำกัด และ บริษัท เอสจี โบรคเกอร์ จำกัดด้วย โดยความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างบริษัทต่าง ๆ เหล่านี้มีการเชื่อมโยงกันโดยผ่านกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมการตลาดของ SINGER และบริษัทเหล่านี้ยังใช้เครือข่ายสาขาของ SINGER เป็นจุดจำหน่ายและให้บริการสินเชื่อและผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้แก่ลูกค้าของทั้ง SINGER และของ SGC อีกด้วย
บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินและวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ที่กำหนดโดย SINGER รวมทั้งสร้างรายได้และกำไรที่ดีให้แก่กลุ่ม ทั้งนี้ ในฐานะบริษัทลูกหลักของ SINGER บริษัทยังได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากบริษัทแม่ในรูปของวงเงินสินเชื่อเพื่อใช้เป็นแหล่งเงินทุนระยะยาวของบริษัทอีกด้วย
สร้างรายได้ที่มีนัยสำคัญให้แก่กลุ่ม
ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าผลการดำเนินงานทางการเงินที่แข็งแกร่งและปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของ SGC นั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมสถานะของบริษัทในการเป็นสมาชิกหลักของกลุ่มซิงเกอร์ โดยรายได้ของบริษัทคิดเป็นประมาณ 40% ของรายได้รวมของ SINGER ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาซึ่งทริสเรทติ้งมองว่าเป็นสัดส่วนที่มีนัยสำคัญ ทั้งนี้ รายได้รวมของบริษัทคิดเป็น 48% ของรายได้รวมของ SINGER ในปี 2565 ส่วนในด้านของผลกำไรนั้น บริษัทสร้างกำไรสุทธิคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 71% ของกำไรสุทธิรวมของ SINGER ในปี 2565 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าผลกำไรของ SGC จะยังคงแข็งแกร่งโดยได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายธุรกิจ รวมทั้งการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานและคุณภาพสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับในปี 2565 นั้น อัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ย (EBT/RWAs) ของบริษัทอยู่ในระดับปานกลางที่ 8.5%
มีสถานะทางธุรกิจอยู่ในระดับปานกลาง
สถานะทางการตลาดของบริษัทมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งเห็นได้จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของพอร์ตสินเชื่อในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 สินเชื่อคงค้างของบริษัทเติบโตถึงระดับ 1.49 หมื่นล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งนี้ เป็นผลมาจากความพยายามในการทำการตลาดอย่างต่อเนื่องและกลยุทธ์เชิงรุกในการขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน แม้กระนั้น สถานะทางการตลาดของบริษัทก็ยังคงอยู๋ในระดับปานกลางเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งรายสำคัญ ๆ ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตจากทริสเรทติ้ง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 สัดส่วนสินเชื่อของบริษัทประกอบไปด้วยสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน 65% สินเชื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนและเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ 32% และสินเชื่อประเภทอื่น ๆ อีก 3%
การบริหารความเสี่ยงมีความสอดคล้องกับกลุ่ม
นโยบายการบริหารความเสี่ยงของ SGC สอดคล้องไปกับนโยบายของกลุ่มซิงเกอร์ โดยนโยบายความเสี่ยงและการจัดการความเสี่ยงด้านเครดิตจะมีคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงของกลุ่มคอยติดตามดูแล นอกจากนี้ บริษัทยังได้นำการให้คะแนนเครดิตและนโยบายการอนุมัติสินเชื่อของ SINGER มาปรับใช้กับลูกค้าของบริษัทอีกด้วย
คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทเริ่มอ่อนแอลงในปี 2565 อันเป็นผลมาจากการขยายตัวของสินเชื่ออย่างรวดเร็วท่ามกลางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ โดยอัตราส่วนลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ในพอร์ตสินเชื่อทั้งหมดของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 4.6% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 จาก 3.9% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 ทั้งนี้ ในระยะยาวบริษัทวางเป้าหมายจะรักษา NPL Ratio ให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 5% ซึ่งเป็นระดับที่ทริสเรทติ้ง ยอมรับได้ ด้วยความท้าทายในการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ SINGER จึงมีกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจของบริษัทเองอย่างระมัดระวังมากขึ้นรวมทั้งกำหนดนโยบายสินเชื่อของ SGC ให้รอบคอบมากขึ้น ซึ่งน่าจะส่งผลให้พอร์ตสินเชื่อของ SGC ขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลงในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า
ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจาก SINGER อย่างต่อเนื่อง
SGC ได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินอย่างต่อเนื่องจาก SINGER ในรูปของวงเงินสินเชื่อจำนวน 1.1 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 โดยวงเงินสินเชื่อดังกล่าวช่วยสนับสนุนสถานะเงินทุนและสภาพคล่องรวมทั้งช่วยรองรับการขยายธุรกิจของบริษัท นอกจากนี้ SINGER ยังได้เพิ่มทุนให้แก่บริษัทในช่วงที่ผ่านมาอีกด้วย ดังนั้น การเพิ่มทุนจึงตอกย้ำถึงบทบาทสำคัญของบริษัทในฐานะที่เป็นหน่วยให้บริการด้านการเงินให้แก่ SINGER ทริสเรทติ้งเชื่อว่า SINGER จะยังคงให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ SGC อย่างเต็มที่ในระยะยาวรวมทั้งมีความประสงค์และมีศักยภาพที่จะให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษแก่บริษัทในสถานการณ์ที่บริษัทมีความกดดันทางด้านการเงิน
ยังคงมีความท้าทายและความเสี่ยงสำหรับผู้ประกอบการสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักประกัน
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 อัตราการเติบโตของสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักประกัน (Title Loan) คงค้างโดยเฉลี่ยของผู้ประกอบการใหญ่ 3 รายแรกยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยการเติบโตที่แข็งแกร่งของสินเชื่อนี้น่าจะยังคงดำเนินต่อไปในระยะปานกลางจากปัจจัยสนับสนุนในเรื่องการขยายจำนวนสาขา เป้าหมายการเติบโตในเชิงรุกของผู้ประกอบการเดิม การเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ รวมไปถึงอุปสงค์ด้านสินเชื่อที่ยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองเห็นถึงพัฒนาการและความท้าทายสำคัญ ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักประกันซึ่งจำเป็นจะต้องคอยเฝ้าติดตาม โดยประการแรก การลดลงของส่วนต่างอัตราผลตอบแทนของผู้ประกอบการอันเกิดจากการแข่งขันด้านราคาและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะทำให้ความสามารถในการทำกำไรลดลง ประการต่อมา ความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้นจากกลยุทธ์การขยายสินเชื่อในเชิงรุกและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่อ่อนแอลงซึ่งส่งผลทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อถัวเฉลี่ยปรับเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ เป้าหมายในการขยายสินเชื่อในเชิงรุกทำให้สัดส่วนฐานทุนลดลง ซึ่งหากยังคงดำเนินต่อไปก็อาจส่งผลกระทบต่อสถานะเครดิตของบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตได้
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งอยู่บนความคาดหมายที่บริษัทจะยังคงดำรงสถานะในการเป็นบริษัทลูกหลักของ SINGER ต่อไป
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? ของ SGC สะท้อนแนวโน้มอันดับเครดิตของ SINGER และการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะในการเป็นบริษัทลูกหลักของ SINGER และได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากบริษัทแม่อย่างต่อเนื่องต่อไป
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอยู่ในระดับเดียวกับและเป็นไปในทิศทางเดียวกับอันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตของ SINGER เนื่องจากบริษัทมีสถานะเป็นบริษัทลูกหลักของ SINGER อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากทริสเรทติ้งเห็นว่าสถานะที่บริษัทมีต่อกลุ่ม SINGER นั้นอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด หรือมีข้อบ่งชี้ว่าบริษัทได้รับการสนับสนุนจาก SINGER น้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ทริสเรทติ้งจะมองว่าเหตุดังกล่าวมีแนวโน้มเป็นไปได้ต่ำมากในระยะปานกลางก็ตาม
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร, 17 กุมภาพันธ์ 2563
บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (SGC)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 2 ปี 11 เดือน
BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable