ทริสเรทติ้งคาดว่าอุปสงค์ของที่อยู่อาศัยจะปรับตัวดีขึ้นประมาณ 5%-10% ในปีนี้ โดยคาดว่าภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น ธุรกิจท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก ประกอบกับการที่ประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศจีนกลับมาเปิดประเทศ จะส่งผลเชิงบวกต่อธุรกิจมากกว่า
ผลลบที่เกิดจากการกลับมาบังคับใช้มาตรการเกี่ยวกับอัตราส่วนเงินกู้ต่อมูลค่าที่อยู่อาศัย (Loan to Value ? LTV) รวมถึงดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงที่อาจเกิดจากเหตุการณ์เฉพาะ เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน หรือความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ก็ยังคงเป็นปัจจัยท้าทายในปีนี้
จากข้อมูลของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 25 รายที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตจาก
ทริสเรทติ้ง พบว่าผลการดำเนินงานโดยรวมในปี 2565 ดีกว่าที่คาดเล็กน้อย โดยยอดโอนที่อยู่อาศัย (รวมยอดโอนจากโครงการของบริษัทร่วมทุน) ในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นกว่า 12% มาอยู่ที่ประมาณ 3.1 แสนล้านบาท และแม้ว่าต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างและค่าแรงจะปรับต้วเพิ่มขึ้น แต่อัตรากำไรขั้นต้นในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ของผู้ประกอบการก็ยังปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 35% จากประมาณ 33% ในปี 2564
นอกจากนี้ ยอดขายสุทธิ (สุทธิจากยอดปฏิเสธสินเชื่อของธนาคารและยอดยกเลิก) ในปี 2565 ของผู้ประกอบการที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตก็ยังคงเติบโตกว่า 32% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ประมาณ 3.26 แสนล้านบาท โดยการเติบโตมาจากการฟื้นตัวของยอดขายคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 รวมถึงความต้องการบ้านเดี่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น โดยยอดขายสุทธิของคอนโดมิเนียมในปี 2565 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมาอยู่ที่ประมาณ 1.2 แสนล้านบาท หรือประมาณสองเท่าของยอดขายในปี 2564 ในขณะที่ยอดขายสุทธิของบ้านแนวราบก็ยังคงเติบโตกว่า 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ประมาณ 2.06 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ดี ยอดขายคอนโดมิเนียมสุทธิให้แก่ผู้ซื้อชาวต่างชาติในปี 2565 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 10% ของยอดขายรวมของคอนโดมิเนียม หรือคิดเป็นประมาณ 50% ของยอดขายให้ชาวต่างชาติในปี 2562 และเพียง 20% ของยอดขายให้ชาวต่างชาติในปี 2561 ซึ่งเป็นปีที่มียอดขายให้ชาวต่างชาติสูงที่สุด ดังนั้น หากความต้องการซื้อจากชาวต่างชาติกลับมาฟื้นตัวเต็มที่ก็น่าจะช่วยให้ยอดขายคอนโดมิเนียมปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 30%-40% จากปี 2565
ในมุมมองของทริสเรทติ้ง การกลับมาเปิดประเทศของประเทศต่าง ๆ จากการคลายความกังวลเกี่ยวกับโรคระบาดน่าจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยการกลับมาของธุรกิจท่องเที่ยวจะส่งผลดีต่อภาคบริการรวมทั้งส่งผลดีต่อเนื่องต่อการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการส่งออกของสินค้าที่คาดว่าจะชะลอตัวลงท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะการถดถอยของเศรษฐกิจโลก
ในทางตรงข้าม มาตรการ LTV ที่เข้มงวดขึ้นรวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นอาจจะส่งผลลบต่อความต้องการที่อยู่อาศัย ในมุมมองของทริสเรทติ้ง มาตรการ LTV ที่เข้มงวดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีระดับราคาปานกลางถึงสูง เนื่องจากผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในกลุ่มนี้อาจมีสัญญากู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยมากกว่าหนึ่งสัญญา อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายที่อยู่อาศัยไม่น่าจะปรับลดลงอย่างมากเหมือนในปี 2562 โดยคาดว่าความต้องซื้อที่อยู่อาศัยจากชาวต่างชาติที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นน่าจะช่วยชดเชยความต้องการซื้อที่ลดลงของผู้ชื้อที่อยู่อาศัยชาวไทยได้ นอกจากนี้ จากความกดดันที่ลดลงในเรื่องอัตราเงินเฟ้อและค่าเงินบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นเพียง 0.5% ในปี 2566
ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของผู้ประกอบการจำนวน 24 ราย (ไม่นับรวม บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน)) เนื่องจากบริษัทมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจไฟฟ้า) จะเติบโตได้ 5%-10% ในปีนี้ ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นน่าจะปรับลงมาอยู่ที่ระดับปกติที่ประมาณ 32%-33% ลดลงจากระดับประมาณ 35% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ทั้งนี้ เนื่องจากต้นทุนค่าที่ดินและค่าก่อสร้างที่ปรับเพิ่มขึ้นจะสะท้อนรวมอยู่ในต้นทุนสินค้าแล้วทั้งหมด และผลประกอบการที่คาดว่าจะปรับดีขึ้นน่าจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (Debt to EBITDA Ratio) จะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นจากที่ระดับ 6.3 เท่าในปี 2565 มาอยู่ที่ 5.5-6 เท่าในปี 2566-2567 รวมทั้งอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนโดยเฉลี่ยของผู้ประกอบการทั้ง 25 รายดังกล่าวคาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 50%-52%
ณ สิ้นปี 2565 ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตให้แก่ผู้ประกอบการในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 25 ราย โดยมีอันดับเครดิตตั้งแต่ระดับ ?B+? ขึ้นไปถึงจนถึงระดับ ?A+? โดยในปี 2565 ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรใหม่ให้กับผู้ประกอบการจำนวน 2 บริษัท ปรับลดอันดับเครดิตองค์กรจำนวน 2 บริษัท และปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กร 1 บริษัท นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังปรับเพิ่มแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น ?Positive? หรือ ?บวก? 1 บริษัทและปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น ?Negative? หรือ ?ลบ? ทั้งสิ้น 4 บริษัท