ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (TUC) และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทเป็นระดับ ?A+? จากเดิมที่ระดับ ?BBB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? พร้อมทั้งยกเลิก ?เครดิตพินิจ? ที่ให้ไว้สำหรับอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของบริษัทด้วย
อันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นเป็นไปตามอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทแม่คือ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) ซึ่งทริสเรทติ้งจัดให้ที่ระดับ ?A+? ทั้งนี้ TRUE เป็นบริษัทซึ่งจัดตั้งขึ้นใหม่จากการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เดิมก่อนการควบรวมกิจการ (TRUEE) และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (DTAC)
ณ วันที่ 1 มีนาคม 2566 TRUEE และ DTAC ได้ประกาศว่าการควบรวมกิจการของทั้งสองบริษัทเสร็จสมบูรณ์แล้ว ทั้งนี้ สินทรัพย์และหนี้สินทั้งหมดของ TRUEE ได้ถูกโอนไปเป็นของ TRUE ซึ่งส่งผลทำให้ TUC กลายเป็นบริษัทย่อยของ TRUE ส่วนหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทนั้นยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่า TUC มีสถานะเป็นบริษัทย่อยหลักของ TRUE ดังนั้น อันดับเครดิตของ TUC จึงมีระดับเท่ากับอันดับเครดิตของ TRUE ซึ่งเป็นบริษัทแม่
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
สถานะเครดิตของบริษัทที่เกิดจากการควบรวมกิจการ
อันดับเครดิตองค์กรของ TRUE ที่ระดับ ?A+? สะท้อนถึงสถานะผู้นำทางการตลาดในธุรกิจให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมแบบไร้สายและธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในประเทศไทย ตลอดจนความแข็งแกร่งของโครงข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ การมีคลื่นความถี่ในการให้บริการที่หลากหลาย และการมีแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี
TRUE ประกอบธุรกิจที่หลากหลายโดยครอบคลุมธุรกิจให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมแบบไร้สาย ธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ธุรกิจโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก และธุรกิจให้บริการด้านดิจิทัล ทั้งนี้ ธุรกิจให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมแบบไร้สายของ TRUE มี TUC และ บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด (DTN) เป็นผู้ให้บริการหลัก ซึ่งส่งผลให้ TRUE มีส่วนแบ่งตลาดใหญ่ที่สุดในปัจจุบันที่ราว 53% ในแง่รายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่
ทริสเรทติ้งมองว่า TRUE ได้กลายมาเป็นผู้ประกอบการที่แข็งแกร่งมากในธุรกิจโทรคมนาคมในประเทศไทยด้วยการมีขอบเขตธุรกิจขนาดใหญ่และมีสถานะเป็นผู้นำในการแข่งขัน ทั้งนี้ ทริสเรทติ้ง มองว่าขนาดของธุรกิจที่ใหญ่นั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันโดยช่วยให้บริษัทสามารถขยายการลงทุนได้อย่างต่อเนื่องในโครงข่าย คลื่นความถี่ และมีความพร้อมในการเข้าสู่การให้บริการในระบบดิจิทัลได้เป็นอย่างดี ในการนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่า TRUE จะเร่งดำเนินการให้ประโยชน์จากการควบรวมกิจการที่ตั้งเป้าหมายไว้และการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานเกิดขึ้นโดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเห็นว่าประโยชน์ที่จะได้รับอย่างเต็มที่จากการควบรวมกิจการนั้นอาจต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลสำเร็จ โดย TRUE ยังคงต้องบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการในระยะอันใกล้นี้ นอกจากนี้ ภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมและระดับหนี้สินทางการเงินที่สูงของบริษัทจะเป็นข้อจำกัดต่อสถานะเครดิต ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ TRUE จะอยู่ที่ระดับ 5.3-6.4 เท่าในช่วงระหว่างปี 2566-2568
TUC มีสถานะเป็นบริษัทย่อยหลักของ TRUE
TRUE เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดของ TUC ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งประเมินว่า TUC มีสถานะเป็นบริษัทย่อยหลักของ TRUE โดย TUC เป็นบริษัทหลักในการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลุ่ม TRUE นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังพิจารณาถึงการดำเนินงานร่วมกัน ตลอดจนความสอดคล้องในด้านกลยุทธ์ธุรกิจและนโยบายทางการเงิน รวมถึงชื่อเสียงของบริษัทที่เชื่อมโยงกับบริษัทแม่อีกด้วย
ในฐานะที่เป็นบริษัทหลักในการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม TUC ทำหน้าที่ให้บริการการสื่อสารแบบไร้สายภายใต้ใบอนุญาตและรับผิดชอบสินทรัพย์การดำเนินงานหลักของ TRUE ในการนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ในการให้บริการโทรคมนาคมแบบครบวงจรของ TRUE ในระยะยาวต่อไป นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่า TUC จะสร้างรายได้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของรายได้รวมของ TRUE และสร้าง EBITDA ในสัดส่วน 50% ของกลุ่ม ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากความสำคัญของ TUC ที่มีต่อกลุ่มและความเชื่อมโยงที่เหนียวแน่นนี้แล้ว ทริสเรทติ้งจึงเชื่อว่า TRUE จะให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษในยามที่ TUC ประสบปัญหา
มีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง
ทริสเรทติ้งคาดว่า TUC จะยังคงรักษาสถานะทางการแข่งขันในตลาดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ต่อไปได้โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการมีโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ครอบคลุมกว้างขวางและมีคุณภาพ รวมทั้งการมีคลื่นความถี่ที่หลากหลายและแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าทั้งในระบบแบบเติมเงินและระบบรายเดือนเพิ่มมากขึ้น โดย ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีลูกค้าทั้งสิ้นที่จำนวน 33.8 ล้านรายและมีลูกค้า 5G ที่ใช้บริการข้อมูลสูงจำนวนมากกว่า 4.5 ล้านราย ในขณะที่รายได้จากการให้บริการที่ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (Interconnection Charge ? IC) ในปี 2565 นั้นอยู่ที่ระดับ 7.9 หมื่นล้านบาทซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดราว 31% ในขณะที่ DTN มีส่วนแบ่งประมาณ 21%
การแข่งขันที่รุนแรงส่งผลกดดันต่อรายได้จากการให้บริการ
ในปี 2565 ตลาดสื่อสารแบบไร้สายในประเทศไทยมีมูลค่ารวมอยู่ที่ประมาณ 2.51 แสนล้านบาท ลดลงประมาณ 0.7% จากปีก่อน โดยยังได้รับผลกระทบจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างเปราะบางและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มระบบเติมเงิน นอกจากนี้ การแข่งขันที่รุนแรงก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ (Average Revenue per User -- ARPU) ทั่วทั้งอุตสาหกรรม
แม้ว่าประเทศไทยจะกลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้ง แต่ตลาดในปี 2566 มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแอลงซึ่งเป็นผลมาจากอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น โดยทริสเรทติ้งคาดว่าการแข่งขันในตลาดจะยังคงมีความรุนแรงแต่น่าจะมีความสมเหตุสมผลมากขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้าเนื่องจากการควบรวมกิจการจะทำให้ตลาดเหลือผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่เพียง 2 รายเท่านั้น นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าอุปสงค์ในการใช้บริการด้านข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเข้าถึงอุปกรณ์สื่อสารที่รองรับเทคโนโลยี 5G ซึ่งมีราคาไม่แพงได้ง่ายขึ้นจะเป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่ม ARPU ได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
เป็นบริษัทที่สร้างรายได้และกำไรอย่างมีนัยสำคัญให้แก่กลุ่ม
ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่า TUC จะยังคงสร้างฐานรายได้ที่แข็งแกร่งให้แก่ TRUE โดยคาดว่ารายได้จากการให้บริการของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับดีขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังวิกฤติการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ตลอดจนการมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ที่ใช้บริการด้านข้อมูลในระดับสูง และจำนวนอุปกรณ์สื่อสารที่รองรับเทคโนโลยี 5G ที่เข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้รวมของ TUC จะเป็นถือเป็นรายได้หลักที่ระดับประมาณ 50% ของรายได้ในงบการเงินรวมของ TRUE
ในช่วง 3 ปีข้างหน้าทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการสร้างผลกำไรของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นจากความพยายามในการปรับลดต้นทุนให้เหมาะสม ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการปรับปรุงพัฒนาเพื่อเพิ่มผลผลิต ทั้งนี้ การผสานพลังทางธุรกิจหลังการควบรวมกิจการที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนั้นจะนำมาซึ่งการปรับปรุงการใช้สินทรัพย์และประโยชน์จากการประหยัดจากขนาด ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่า EBITDA ของ TUC จะอยู่ในช่วง 3.7-4.2 หมื่นล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2566-2568 และเงินทุนจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ระดับ 2.4-2.9 หมื่นล้านบาทต่อปี
สถานะด้านการเงินมีภาระหนี้สินอยู่ในระดับสูง
TUC มีภาระหนี้สินอยู่ในระดับสูงเนื่องจากบริษัทมีการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ที่ระดับ 8.9 เท่า เพิ่มขึ้นจากระดับ 7.5 เท่าในปี 2564 อันเนื่องมาจากผลการดำเนินงานในปี 2565 ที่ได้รับแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและการแข่งขันที่รุนแรงจนส่งผลให้ EBITDA ของบริษัทลดลง ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินลดลงมาอยู่ที่ระดับ 6.7% จาก 8.5% ในปี 2564
ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้สินของบริษัทน่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในช่วง 3 ปีข้างหน้าเมื่อพิจารณาจากเงินลงทุนสำหรับขยายโครงข่ายและภาระในการชำระค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่ ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนที่ประมาณ 2.0-2.4 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2568 และจะมีภาระในการจ่ายชำระค่าใบอนุญาตอีกปีละประมาณ 9.4 พันล้านบาทถึง 1.2 หมื่นล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งทำให้ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะยังคงอยู่ที่ระดับประมาณ 7-8 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ที่ระดับประมาณ 8%-11% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะอยู่ที่ระดับประมาณ 90%
ความจำเป็นในการกู้ยืมใหม่เพื่อนำมาชำระคืนหนี้เงินกู้เดิม
ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 2.23 หมื่นล้านบาทในขณะที่มีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในปี 2566 จำนวนประมาณ 3.35 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีภาระหนี้สินตามสัญญาเช่าในส่วนที่จะถึงกำหนดชำระภายใน 1 ปีอีกจำนวน 8.1 พันล้านบาทอีกด้วย เมื่อพิจารณาจากความต้องการใช้เงินทุนในการขยายโครงข่ายและเงินทุนจากการดำเนินงานตามที่ประมาณการแล้ว ทริสเรทติ้งก็คาดว่า TUC มีความจำเป็นจะต้องกู้เงินใหม่เพื่อนำมาชำระคืนหนี้เงินกู้เดิมที่จะครบกำหนดเป็นส่วนใหญ่
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? ทริสเรทติ้งคาดหมายว่า TUC จะยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยหลักของ TRUE ต่อไป
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? เป็นไปตามแนวโน้มอันดับเครดิตของ TRUE ซึ่งเป็นบริษัทแม่และความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่า TUC จะยังคงสถานะในการเป็นบริษัทย่อยหลักของ TRUE ต่อไป โดยทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงเป็นส่วนสำคัญในการสร้างรายได้และสถานะทางธุรกิจของบริษัทแม่ต่อไป
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเปลี่ยนแปลง
ตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ? ของทริสเรทติ้งนั้น อันดับเครดิตของ TUC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยหลักของ TRUE จะอยู่ในระดับเดียวกับอันดับเครดิตของ TRUE ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทจะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงอันดับเครดิตของบริษัทแม่ โดยอันดับเครดิตของบริษัทอาจเปลี่ยนแปลงไปในทางลบได้ด้วยเช่นกันในกรณีที่ทริสเรทติ้งเห็นว่าระดับความช่วยเหลือที่บริษัทจะได้รับจากบริษัทแม่นั้นเปลี่ยนแปลงไป หรือหากมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับสถานะของบริษัทเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมอื่น ๆ ในกลุ่ม
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (TUC)
อันดับเครดิตองค์กร: A+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
TUC238A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 7,951.60 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A+
TUC23NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A+
TUC23DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,545.10 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A+
TUC241A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 11,073.90 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A+
TUC243A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,181.90 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A+
TUC245A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,789.50 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A+
TUC245B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,886.80 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A+
TUC245C: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,460.3 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A+
TUC246A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A+
TUC24NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A+
TUC252A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,733.30 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A+
TUC255A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,306.10 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A+
TUC256A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 18,476.80 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A+
TUC25NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,820.20 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A+
TUC262A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,523.60 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A+
TUC262B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,363.30 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A+
TUC262C: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,840 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A+
TUC265A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,652.20 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A+
TUC26DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 7,477.20 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A+
TUC275A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,376.40 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A+
TUC27NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,643.50 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A+
TUC282A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,456.10 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A+
TUC28NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,419 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A+
TUC295A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,575.80 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 A+
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 9,187.90 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 7 ปี A+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable