ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. เจมาร์ท” ที่ “BBB+”, หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ที่ “BBB”, และจัดอันดับหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน วงเงินไม่เกิน 2 พันล้านบาทที่ “BBB” แนวโน้ม

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday March 13, 2023 16:40 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB+? และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ ?BBB? พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2 พันล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 3 ปีของบริษัทที่ระดับ ?BBB? ด้วย ทั้งนี้ อันดับเครดิตหุ้นกู้ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรนั้นสะท้อนถึงความด้อยกว่าในเชิงโครงสร้างของภาระหนี้ของเงินกู้ยืมไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทเมื่อเทียบกับสิทธิเรียกร้องในการชำระคืนหนี้ของบริษัทย่อยต่าง ๆ ของบริษัท

อันดับเครดิตองค์กรสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดีของกลุ่มเจมาร์ท (JMART Group) โดยส่วนใหญ่มาจากรายได้ที่แข็งแกร่งของบริษัทลูกหลักทั้ง 3 รายซึ่งได้แก่ บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) (JMT) (อันดับเครดิต ?BBB+/Stable?) ซึ่งดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด (J-Mobile) ซึ่งดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ และ บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) (J-Asset) ซึ่งดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากการเพิ่มขึ้นของอัตราการก่อหนี้ของบริษัท

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

การลงทุนซื้อกิจการที่รวดเร็วและหลากหลาย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาบริษัทได้เร่งการลงทุนซื้อกิจการในธุรกิจต่าง ๆ ที่มีความหลากหลายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สัดส่วนรายได้ที่เกิดจากการลงทุนใหม่ ๆ นั้นยังคงคิดเป็นสัดส่วนที่ไม่มากนัก

ในปี 2565 บริษัทใช้เงินลงทุนไปในการซื้อกิจการของบริษัทต่าง ๆ รวมทั้งสิ้นจำนวน 3.2 พันล้านบาทและมีส่วนแบ่งกำไรในบริษัทที่ลงทุนจำนวน 344 ล้านบาทหรือคิดเป็น 11% ของกำไรก่อนภาษี ส่วนในปี 2566 นั้นบริษัทตั้งงบประมาณลงทุนทั้งสิ้นที่จำนวนประมาณ 3 พันล้านบาทซึ่งรวมเงินลงทุนจำนวน 648 ล้านบาทที่จะใช้ลงทุนในหุ้นสามัญของ บริษัท พีอาร์ทีอาร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งดำเนินธุรกิจให้บริการด้านทรัพยากรบุคคล โดยคาดว่าการลงทุนจะเสร็จสิ้นเมื่อบริษัทดังกล่าวมีการเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในเดือนมีนาคม 2566

การลงทุนที่สำคัญในปี 2565 คือการซื้อหุ้นจำนวน 30% ใน บริษัท บีเอ็นเอ็น เรสเตอรองท์ จำกัด (BNN) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินกิจการร้านอาหารในแบรนด์ "สุกี้ตี๋น้อย" โดยใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 1.2 พันล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 37.5% ของเงินลงทุนรวมในปี 2565

การลงทุนอื่น ๆ ที่มีขนาดใหญ่ในปี 2565 นั้นประกอบไปด้วยการลงทุนในสัดส่วน 10% ใน บริษัท เนชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) (NINE) และ บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) (BRR) ซึ่งดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำตาล นอกจากนี้ ยังมีการร่วมทุนโดยใช้เงินจำนวน 5 พันล้านบาทระหว่าง บริษัท บริหารสินทรัพย์ เจ จำกัด (JAM) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ JMT กับ บริษัท กสิกร วิชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในชื่อ บริษัท บริหารสินทรัพย์ เจเค จำกัด (JK AMC) อีกด้วย

อัตราการก่อหนี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

ทริสเรทติ้งมองว่าในระยะยาวบริษัทจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการลงทุนที่ได้ทำไป แต่ในระยะสั้นนั้นอัตราการก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากแผนการลงทุนปริมาณมากอาจจะส่งผลในด้านลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทได้ โดยในปี 2565 อัตราการก่อหนี้ของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) นั้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.5 เท่าจาก 1.2 เท่าในปี 2564 ซึ่งยังเป็นไปตามที่ทริสเรทติ้งคาดหมายไว้ ซึ่งการเพิ่มขึ้นนั้นมาจากการลงทุนของบริษัทและการขยายธุรกิจของบริษัทลูกต่าง ๆ ในกลุ่ม

เมื่อพิจารณาจากแผนการลงทุนในอนาคตทั้งของบริษัทเองและของ JMT รวมทั้งจากการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าอัตราการจัดเก็บเงินของ JMT จะยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับในปี 2565 โดยไม่มีการเพิ่มทุนอีกในช่วงเวลาดังกล่าวแล้ว ทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเกินกว่า 3.5 เท่าในระยะ 3 ปีข้างหน้าซึ่งอาจจะส่งผลในด้านลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทได้เช่นกัน

JMT ยังคงเป็นบริษัทลูกที่ดำเนินธุรกิจหลักของบริษัท

ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจจัดเก็บและบริหารหนี้ด้อยคุณภาพภายใต้การดำเนินงานของ JMT นั้นจะยังคงเป็นธุรกิจที่แข็งแกร่งที่สุดและเป็นบริษัทหลักในการสร้างกำไรซึ่งช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานโดยรวมของกลุ่มเจมาร์ท ทั้งนี้ ในปี 2565 JMT มีกำไรสุทธิที่ระดับ 1.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือคิดเป็นประมาณ 64% ของกำไรสุทธิรวมของกลุ่มเจมาร์ท นอกจากผลกำไรของ JMT ที่ช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานโดยรวมของกลุ่มเจมาร์ทแล้ว การลงทุนในสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจำนวนประมาณ 8 พันล้านบาทต่อปียังบ่งชี้ถึงความสำคัญที่ทำให้ JMT เป็นบริษัทลูกหลัก (Core Subsidiary) ของกลุ่มเจมาร์ทในสายตาของทริสเรทติ้งอีกด้วย

ในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา JMT มีสัดส่วนสินทรัพย์ต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าหรือคิดเป็น 61% จาก 32% ในปี 2560 ถึงแม้ว่าปริมาณการลงทุนในสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในปี 2565 จะลดลงเหลือ 4.6 พันล้านบาท แต่ทริสเรทติ้งยังมองว่าการลงทุนในอนาคตของ JMT จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากอุปทานของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่น่าจะถูกนำออกจำหน่ายโดยธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ มากยิ่งขึ้นหลังจากการสิ้นสุดโครงการช่วยเหลือลูกหนี้ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของเงินลงทุนจะทำให้สัดส่วนสินทรัพย์ของ JMT น่าจะยังคงเป็นสัดส่วนที่มีนัยสำคัญต่อสินทรัพย์รวมของกลุ่ม

ความพยายามในการเพิ่มความร่วมมือภายในกลุ่มให้มากยิ่งขึ้น

ธุรกิจของบริษัทประกอบไปด้วยธุรกิจค้าปลีก (Retail) และธุรกิจการเงิน (Finance) เป็นหลัก สถานะความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทถูกกดดันจากการพึ่งพารายได้และกระแสเงินสดจากบริษัทในกลุ่มเพียงไม่กี่แห่งถึงแม้ว่าบริษัทจะมีการลงทุนในธุรกิจที่หลากหลายก็ตาม อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงพยายามเพิ่มเครือข่ายและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ไปพร้อมกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของความร่วมมือกันระหว่างบริษัทลูกและบริษัทร่วมให้มากยิ่งขึ้น กลยุทธ์ดังกล่าวอาจจะทำให้สถานะความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นในระยะยาวหากความร่วมมือเหล่านั้นทำให้รายได้และกระแสเงินสดปรับตัวดีและมีความหลากหลายยิ่งขึ้น ทั้งนี้ แผนการผสานความร่วมมือภายในกลุ่มมีดังต่อไปนี้ 1) JMT จะเป็นผู้ให้บริการติดตามหนี้ให้แก่ บริษัท เคบีเจ แคปปิตอล จำกัด (KBJ Capital อันดับเครดิต ?A-/Stable?) และ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (SINGER อันดับเครดิต ?BBB/Stable?) 2) J-Asset จะให้การสนับสนุน JMT ในการปรับปรุงและจำหน่ายสินทรัพย์รอการขาย และ 3) การใช้พื้นที่เช่าร่วมกันในร้านขายปลีกในระหว่างบริษัทลูกต่าง ๆ ปัจจุบัน JMT กับ KB J Capital ได้มีการร่วมมือกันในการให้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัย

ธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่กำลังฟื้นตัวกลับมา

ภายในกลุ่มเจมาร์ทนั้น บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด (J-Mobile) ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากแผนการผสานความร่วมมือภายในกลุ่มซึ่งเห็นได้จากผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น โดยในปี 2565 ยอดขายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่และสินค้าที่เกี่ยวข้องซึ่งรวมรายได้จากกิจกรรมส่งเสริมการขายของ J-Mobile เพิ่มขึ้น 16.9% จากปีก่อนหน้าโดยมาอยู่ที่ระดับ 9.6 พันล้านบาท J-Mobile มีกำไรสุทธิจำนวน 354 ล้านบาทในปี 2565 ซึ่งปรับเพิ่มขึ้น 77% จากปีก่อนหน้า ซึ่งการปรับตัวที่ดีขึ้นนั้นมาจากการเน้นการจัดจำหน่ายผ่านทางเครือข่ายของ SINGER รวมทั้งการมีช่องทางออนไลน์และการขยายตัวของร้านค้าร่วมของบริษัทภายในกลุ่มเจมาร์ท (Synergy Shop) ซึ่งในปี 2565 นั้น J-Mobile มีการเปิดสาขาใหม่จำนวน 78 แห่งในขณะที่ SINGER ก็มีการขยายสาขาแฟรนไชส์ด้วยเช่นกัน

การจำหน่ายสินค้าของ J-Mobile โดยผ่านเฉพาะเครือข่ายของ SINGER นั้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1 พันล้านบาทในปี 2565 ซึ่งเพิ่มขึ้น 83.9% จากปี 2564 รวมไปถึงยอดขายโทรศัพท์เคลื่อนที่อีกจำนวน 517 ล้านบาทที่เพิ่มขึ้น 29% จากปีที่แล้วซึ่งเป็นผลมาจากการให้บริการสินเชื่อรายย่อยของ SINGER และ KBJ Capital อีกด้วย ในอนาคตทริสเรทติ้งมองว่าแผนกลยุทธ์ของ J-Mobile ในการเพิ่มประเภทของสินค้าที่จำหน่ายไปยังอุปกรณ์ขนาดเล็ก (Gadget) และผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น โน้ตบุ๊ค โทรทัศน์ และอื่น ๆ นั้นน่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้มากยิ่งขึ้นและจะเพิ่มผลกำไรทางธุรกิจได้บ้าง

กำไรจาก J-Asset ปรับตัวดีขึ้น

ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ J-Asset ในปี 2565 ช่วยกระจายแหล่งที่มาของรายได้ของบริษัทได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ การพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจะเป็นปัจจัยในเชิงบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัทในระยะที่ยาวนานกว่านี้ รายได้ของ J-Asset ปรับตัวดีขึ้นในทุกธุรกิจจากที่เคยมีผลการดำเนินงานอ่อนแอลงในช่วงปี 2563-2564 โดยสืบเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ทั้งนี้ ในปี 2565 รายได้รวมของ J-Asset เพิ่มขึ้น 28.3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วมาอยู่ที่ 558 ล้านบาทจากการรับรู้รายได้ค่าเช่าเต็มปีจากศูนย์การค้าชุมชน ?JAS Green Village Kubon? และกำไรจากการตีมูลค่าของสินทรัพย์ลงทุนใหม่ โดย J-Asset มีกำไรสุทธิที่ปรับตัวดีขึ้นเป็น 202 ล้านบาทในปี 2565 ซึ่งเพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าแผนกลยุทธ์ของ J-Asset ที่จะมุ่งเน้นพื้นที่เช่าในศูนย์การค้าชุมชนนั้นจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างช้า ๆ ได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าแผนการขยายศูนย์การค้าชุมชนออกไปยังต่างจังหวัดในช่วง 2-3 ปีข้างหน้านั้นยังมีความ

ท้าทายในด้านพฤติกรรมของลูกค้าที่อาจจะแตกต่างออกไปโดยในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าโครงการศูนย์การค้าชุมชนในพื้นที่ต่างจังหวัดของ J-Asset ที่ผ่านมานั้นยังไม่ค่อยได้รับการตอบรับดีนัก ในทางตรงกันข้าม ทริสเรทติ้งยังคงมีความหวังกับโครงการ ?ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ SENERA? ที่อยู่ใกล้กับ JAS Green Village Kubon ที่น่าจะช่วยเพิ่มกระแสเงินสดให้แก่บริษัทได้โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2566

แหล่งเงินทุนและสภาพคล่องยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้

ในระยะเวลา 12 เดือนข้างหน้าทริสเรทติ้งคาดว่าแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัทจะยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ โดยแหล่งสภาพคล่องส่วนใหญ่ตามงบการเงินรวมจะมาจากเงินทุนจากการดำเนินงานจำนวนประมาณ 5.0-5.5 พันล้านบาทในปี 2566 รวมทั้งเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ สิ้นปี 2565 อีกจำนวนประมาณ 9.4 พันล้านบาทจากการเพิ่มทุนในปี 2564 ซึ่งน่าจะเพียงพอที่จะสนับสนุนการดำเนินงานและการขยายธุรกิจของบริษัทได้ ในขณะที่บริษัทมีความต้องการในการใช้เงินทุนซึ่งประกอบด้วยค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่ประมาณ 1 พันล้านบาท ตลอดจนเงินลงทุนซื้อกิจการใหม่จำนวน 3 พันล้านบาท และเงินลงทุนเพื่อซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารโดย JMT อีกประมาณ 8 พันล้านบาทต่อปี ในการนี้ ทริสเรทติ้งไม่มีความกังวลเกี่ยวกับสภาพคล่องของบริษัทในระยะ 12 เดือนข้างหน้าเนื่องจากบริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอสำหรับหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนกันยายน 2566 จำนวน 1 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมีข้อสังเกตว่าบริษัทควรมีการขยายวงเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่หลากหลายขึ้นเพื่อช่วยสนับสนุนความต้องการด้านสภาพคล่องในยามที่ตลาดทุนมีความโกลาหลผิดปกติซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่สูงขึ้นได้

?

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

ในระยะ 3 ปีข้างหน้า (ปี 2566-2568) ทริสเรทติ้งมีสมมติฐานสำหรับการดำเนินงานของบริษัทเจมาร์ทดังต่อไปนี้

? บริษัทจะมีรายได้ที่ระดับ 1.6-2.0 หมื่นล้านบาทต่อปี

? อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจจัดเก็บหนี้จะอยู่ที่ระดับ 70% ส่วนของธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่จะอยู่ที่ระดับ 10%-15% และของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ที่ระดับ 25%-30%

? เงินลงทุนของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1 พันล้านบาทต่อปีและเงินลงทุนเพื่อซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารจะอยู่ที่ 8 พันล้านบาทต่อปี

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่า JMT จะสามารถรักษาระดับผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพเอาไว้ได้ต่อไป ในขณะที่สถานะในการแข่งขันในธุรกิจจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัทจะยังคงเดิมโดยบริษัทจะยังคงรักษาภาระหนี้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าบริษัทจะมีกระแสเงินสดและแหล่งรายได้ที่กระจายตัวยิ่งขึ้นเนื่องจากผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทลูกรายอื่น ๆ และส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเปลี่ยนแปลง

โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตหรือแนวโน้มนั้นอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทเจมาร์ทสามารถยกระดับสถานะความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทจากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลูกต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นในขณะที่ยังคงรักษาภาระหนี้สินทางการเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเอาไว้ได้ ในขณะที่ความกดดันทางด้านลบต่ออันดับเครดิตจะเกิดขึ้นจากผลการดำเนินงานที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญทั้งในส่วนของบริษัทเองหรือในส่วนของบริษัทลูกต่าง ๆ หรือจากการลงทุนในเชิงรุกซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้จนอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่สูงเกินกว่าระดับ 3.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) (JMART)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB+

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

JMART239A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB

JMART249A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB

JMART25OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,387.2 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB

JMART26OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,612.8 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB

หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 3 ปี BBB

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ