ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม” ที่ “BBB” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 30, 2023 16:02 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทเกิดจากองค์ประกอบระหว่างอันดับเครดิตเฉพาะ (Stand-alone Credit Profile ? SACP) ของบริษัทซึ่งอยู่ที่ระดับ?bbb? และสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทย่อยหลัก (Core Subsidiary) ของ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (ILINK) ตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ? (Group Rating Methodology) ของทริสเรทติ้ง โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันในการให้บริการวงจรสื่อสารข้อมูลผ่านโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงของบริษัท ตลอดจนผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ และหนี้สินทางการเงินที่อยู่ในระดับปานกลาง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนบางส่วนจากความไม่แน่นอนและความผันผวนของธุรกิจโครงการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ (Turnkey Project) และการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมด้วยเช่นกัน

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

มีความได้เปรียบทางการแข่งขันในการให้บริการสื่อสารข้อมูลผ่านโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสง

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดบริการสื่อสารข้อมูลผ่านโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงได้ต่อไป ทั้งนี้ บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการรายสำคัญของประเทศในการให้บริการวงจรสื่อสารและการเชื่อมต่อข้อมูลคุณภาพสูงโดยมีการติดตั้งโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักตลอดแนวเส้นทางรถไฟและทางหลวงทั่วประเทศไทย

ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงที่ครอบคลุมกว้างขวาง รวมถึงคุณภาพของโครงข่าย และทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์ล้วนเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญของบริษัทในการให้บริการสื่อสารข้อมูลแก่ลูกค้า คุณภาพในการให้บริการที่สม่ำเสมอและเชื่อถือได้ตลอดจนความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้ช่วยเสริมสร้างให้เกิดความผูกพันที่แข็งแกร่งระหว่างบริษัทกับลูกค้า ซึ่งความได้เปรียบดังกล่าวยังทำให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องและเข้าร่วมในโครงการโทรคมนาคมของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับเคเบิลใยแก้วนำแสงหลากหลายโครงการ

คาดว่าฐานรายได้ประจำจะเพิ่มสูงขึ้น

รายได้จากธุรกิจให้บริการโครงข่ายวงจรสื่อสารข้อมูลความเร็วสูง (Data Service Business) และจากธุรกิจให้บริการพื้นที่ศูนย์ข้อมูล (Data Center Business) ถือเป็นแหล่งที่มาของรายได้ประจำที่สำคัญของบริษัท โดยรายได้จากธุรกิจทั้ง 2 ประเภทนี้คิดเป็นสัดส่วนรวมกันที่ประมาณ 40%-55% ของรายได้รวมของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่าน ทั้งนี้ ในมุมมองทริสเรทติ้งเห็นว่ารายได้ประจำเป็นรายได้ที่คาดการณ์ได้และมีความสม่ำเสมอมากกว่างานโครงการแบบเบ็ดเสร็จและยังช่วยสร้างฐานรายได้ที่แข็งแกร่งให้แก่บริษัทอีกด้วย

แม้ว่ารายได้ของบริษัทจากโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ห่างไกลจะลดลงจากการยกเลิกสัญญากับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 แต่รายได้รวมจากธุรกิจ Data Service ของบริษัทยังคงเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.31 พันล้านบาทในปี 2565 จากระดับ 1.28 พันล้านบาทในปี 2564 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากขนาดของฐานลูกค้าที่ใหญ่ขึ้น โดยบริษัทมีลูกค้าภายใต้บริการข้อมูลที่ใช้โครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงจำนวน 880 ราย ณ เดือนธันวาคม 2565 เพิ่มขึ้นจาก 807 รายในปี 2564 ในขณะที่รายได้จากลูกค้าองค์กรและหน่วยงานราชการซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของรายได้รวมของธุรกิจนี้มีการเติบโตในปี 2565 ที่ระดับ 5% จากปีก่อนหน้า

ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้ประจำของบริษัทจะเพิ่มขึ้นโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ด้านบริการเชื่อมต่อข้อมูลและการเข้าถึงเทคโนโลยีที่มีมากขึ้น รวมทั้งจากการใช้บริการเสริมต่าง ๆ และโครงการใหม่ ๆ นอกจากนี้ บริษัทยังมองหาโอกาสในการเติบโตในโครงการที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เช่น หลักสูตรการเรียนการสอนออนไลน์และโครงการแพทย์ทางไกลสำหรับประชาชนในชนบท เป็นต้น ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้รวมจากธุรกิจ Data Service ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 1.4-1.6 พันล้านบาทต่อปีในระยะ 3 ปีข้างหน้า โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 บริษัทมีสัญญางานที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) ของธุรกิจ Data Service ที่มูลค่ารวม 1.7 พันล้านบาท ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2566 นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่าสัญญาให้บริการส่วนใหญ่ที่กำลังจะหมดอายุภายในระยะ 3 ปีข้างหน้าจะได้รับการต่อสัญญาอีกด้วย

ในขณะที่รายได้จากธุรกิจ Data Center นั้นทริสเรทติ้งคาดว่าจะค่อนข้างคงที่โดยจะอยู่ที่ระดับ 85-90 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า เนื่องจากลักษณะของสัญญาของลูกค้าส่วนใหญ่เป็นสัญญาระยะยาว

ฐานรายได้จากโครงการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จมีการเติบโตเพิ่มขึ้นโดยได้แรงหนุนจากทั้งการเติบโตภายในและจากการรวมบริษัทย่อยแห่งใหม่

บริษัทดำเนินธุรกิจให้บริการติดตั้งโครงข่ายโทรคมนาคม (Installation Business) ขนาดใหญ่โดยใช้ความเชี่ยวชาญในการให้บริการวงจรสื่อสารข้อมูลรวมทั้งการติดตั้งและซ่อมบำรุงเคเบิลใยแก้วนำแสงที่บริษัทมีอยู่มาพัฒนาต่อยอด โดยธุรกิจ Installation นั้นครอบคลุมทั้งการติดตั้งโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสง การให้บริการซ่อมบำรุง และโครงการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology -- IT)

ในปี 2565 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจ Installation เกือบ 2 พันล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 83% จากระดับ 1.1 พันล้านบาทในปี 2564 โดยมาจากรายได้จากธุรกิจเดิมที่เติบโตเพิ่มขึ้นและจากการรวมกิจการของบริษัทย่อยแห่งใหม่ คือ บริษัท บลู โซลูชั่น จำกัด (BS) เข้ามาในเดือนมีนาคม 2565 ซึ่ง BS มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งในโครงการด้านอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Hardware) และงานออกแบบก่อสร้างครบวงจรสำหรับหน่วยงานภาครัฐ ในขณะที่บริษัทเองนั้นก็ขยายงานสู่โครงการใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเติบโตของรายได้โดยในปี 2565 บริษัทได้งานพัฒนาระบบการจัดการงบประมาณอิเล็กทรอนิกส์ (E-budgeting) รวมทั้งงานติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Cell) บนเสาสื่อสารโทรคมนาคมและงานโครงการที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย เช่น การติดตั้งระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) ซึ่งส่งผลให้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจ Installation เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 60% ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2565 จากระดับ 44% ในปี 2564

ในช่วงเวลาประมาณการทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาระดับรายได้ในธุรกิจ Installation ให้อยู่ในช่วง 1.9-2.2 พันล้านบาทต่อปีซึ่งน่าจะได้รับแรงหนุนจากโครงการต่าง ๆ ที่มีอยู่ในแผนและจากการขยายสู่โครงการใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเติบโตซึ่งมีปัจจัยเสริมจากแนวโน้มการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศไทย โดย ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีงานที่ยังไม่ส่งมอบในธุรกิจ Installation อยู่ที่จำนวนทั้งสิ้น 1.7 พันล้านบาท

ในมุมมองของทริสเรทติ้งถือว่ารายได้จากธุรกิจ Installation มีความผันผวนสูงกว่ารายได้จากธุรกิจ Data Service และธุรกิจ Data Center เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่มาจากรายได้จากโครงการซึ่งเกี่ยวข้องกับงบประมาณด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการประมูลงานของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ อีกทั้งอัตรากำไรในธุรกิจนี้ยังต่ำกว่าธุรกิจ Data Service และธุรกิจ Data Center นอกจากนี้ ธุรกิจ Installation ก็มักจะมีปัญหาในการดำเนินงาน เช่น ความล่าช้าในการก่อสร้างหรือในขั้นตอนการชำระเงินรวมทั้งการขาดความต่อเนื่องของงบประมาณด้านเทคโนโลยีสารสนเทศสาธารณะอีกด้วย

อัตรากำไรลดลงแต่คาดว่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัว

ในปี 2565 บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่จำนวน 1.1 พันล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 1 พันล้านบาทในปี 2564 ในขณะเดียวกันก็มีอัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA Margin) ที่ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 32.30% จากระดับ 40.97% ในปีก่อนหน้าเนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนรายได้เพิ่มมากขึ้นจากธุรกิจ Installation ซึ่งมีอัตรากำไรต่ำกว่าธุรกิจอื่นของบริษัทรวมทั้งมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและซ่อมแซมที่เพิ่มขึ้นและมีค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคที่สูงขึ้น

ในอนาคตความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการขยายฐานรายได้ประจำ ตลอดจนการปรับปรุงอัตราการใช้สินทรัพย์ และการควบคุมต้นทุน ทั้งนี้ สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งสำหรับปี 2566-2568 คาดว่า EBITDA ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 1.2-1.3 พันล้านบาทต่อปีโดยที่ EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับ 32.5%-33.5% และเงินทุนจากการดำเนินงานจะอยู่ในช่วง 0.89-0.95 พันล้านบาทต่อปี

มีงบการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น

บริษัทมีหนี้สินที่ปรับปรุงแล้วลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.5 พันล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2565 จากระดับ 4.7 พันล้านบาทในปีก่อนหน้า ทั้งนี้ บริษัทได้ชำระหนี้เงินกู้โครงการระยะสั้นไปแล้วประมาณครึ่งหนึ่งเนื่องจากโครงการแล้วเสร็จ ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 3.2 เท่า ณ เดือนธันวาคม 2565 จากระดับ 4.6 เท่า ณ สิ้นปี 2564 ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 21.5% จากระดับ 16.3% ในปีก่อนหน้าและอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ระดับ 49% โดยเปรียบเทียบกับระดับ 62% ในปี 2564

ทริสเรทติ้งคาดว่ากระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้และระดับหนี้สินของบริษัทจะอยู่ในระดับปานกลางในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีการลงทุนที่ระดับ 350-400 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2568 ซึ่งงบลงทุนในอนาคตส่วนใหญ่จะใช้ในการวางโครงข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อเชื่อมต่อไปยังลูกค้าปลายทางเป็นหลัก เมื่อพิจารณาจากกระแสเงินสดที่เติบโตขึ้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นเงินลงทุนในบางส่วน ทั้งนี้ สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 3.0-3.2 เท่าในระหว่างปี 2566-2568 ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ที่ระดับ 22%-25% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะอยู่ที่ระดับ 46%-50% ในช่วงเวลาเดียวกัน

สภาพคล่องที่เพียงพอ

ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วงเวลา 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทมีแหล่งเงินทุนซึ่งประกอบไปด้วยเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 302 ล้านบาทโดยรวมวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 6.8 พันล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2565 และคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 890 ล้านบาทในปี 2566

บริษัทจะใช้เงินทุนไปในการลงทุนและชำระหนี้สินที่จะครบกำหนด โดย ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีภาระในการจ่ายชำระหนี้เงินกู้ระยะสั้นมูลค่าเกือบ 1 พันล้านบาทซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นหนี้เงินกู้โครงการที่จะต้องชำระคืนสถาบันการเงินเมื่อโครงการแล้วเสร็จ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากประวัติในการดำเนินโครงการของบริษัทและสถานะเครดิตของเจ้าของโครงการแล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะได้รับวงเงินกู้ยืมใหม่เพื่อทดแทนวงเงินกู้ยืมระยะสั้นเดิม ในขณะเดียวกันบริษัทยังมีหนี้ระยะยาวที่จะครบกำหนดชำระในปี 2566 อีกจำนวนเกือบ 500 ล้านบาทด้วย ส่วนงบลงทุนของบริษัทนั้นอยู่ที่ประมาณ 400 ล้านบาทในปี 2566

ข้อกำหนดทางการเงินที่บริษัทมีกับธนาคารระบุให้บริษัทต้องคงระดับอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนทุนไม่ให้เกิน 2.5 เท่าและอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ (Debt Service Coverage Ratio ? DSCR) มากกว่า 1.2 เท่า ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2565 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 0.72 เท่าและ 1.201 เท่าตามลำดับ ในการนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขของข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวตลอดช่วงเวลาประมาณการได้

ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน (Priority Debt) ที่ระดับประมาณ 22% ของหนี้สินทั้งหมดซึ่งประกอบด้วยหนี้ของบริษัทย่อยและหนี้เงินกู้โครงการที่มีหลักประกัน

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? รายได้จะอยู่ในช่วง 3.6-3.9 พันล้านบาทต่อปีในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า

? EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับ 32.5%-33.5%

? เงินลงทุนจะอยู่ที่ปีละ 350-400 ล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะในการแข่งขันในธุรกิจ Data Service เอาไว้ได้ต่อไปรวมทั้งยังจะได้รับสัญญาโครงการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จใหม่ ๆ ด้วย

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากผลการดำเนินงานตลอดจนกระแสเงินสดของบริษัทและของกลุ่ม ILINK ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่อัตราการก่อหนี้ยังคงอยู่ในระดับปานกลาง ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทและของกลุ่มถดถอยลงอย่างมาก ในขณะเดียวกัน สถานะของบริษัทที่มีต่อกลุ่มที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญก็อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอันดับเครดิตด้วยเช่นกัน

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) (ITEL)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ